ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 พฤศจิกายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
ไปร่วมงานค่ายวรรณกรรมชื่อ “อ่านเขียน เรียนรู้ สู่งานวิจารณ์” เมื่อวันที่ 26-28 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่อาศรมวงษ์สนิท คลองรังสิต 13 ปทุมธานี
เจ้าภาพงานนี้คือสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นกับธนาคารกรุงเทพ วิทยากรมีคุณชมัยภร บางคมบาง วีรศักดิ์ จันทร์ส่องแสง จรูญพร ปรปักษ์ประลัย มีเยาวชนคือนิสิต-นักศึกษาและนักเรียน ซึ่งสมัครร่วมผ่านการคัดกรองจากสถาบันการศึกษาทั่วทุกภาค โดยผู้ผ่านเข้าร่วมกิจกรรมตามโครงการจะได้รับทุนการศึกษาทุกคน คนละสองหมื่นบาท
เป็นค่ายเข้มทางวรรณกรรม ต่างจากทุกค่ายบรรดาที่มีอยู่ปัจจุบัน ด้วยค่ายนี้เน้นงานวิจารณ์เป็นหลักนั่นเอง
สืบเนื่องจากสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นร่วมกับธนาคารกรุงเทพจัดประกวดวรรณกรรมรางวัลชมนาด ซึ่งเน้นเฉพาะนักเขียนสตรีกับงานรางวัลจะแปลเป็นภาษาอังกฤษเผยแพร่ยังต่างประเทศด้วย
โดยจัดมาแล้วห้าปี คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยตัวแทนสมาคมที่เกี่ยวกับงานวรรณกรรม เห็นพ้องว่างานวิจารณ์วรรณกรรมเป็นความจำเป็นเพื่อพัฒนาคุณภาพผลงานของนักเขียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ยิ่งยุคสมัยก้าวกระโดด เรายังจะมัวเขย่งเก็งกอยอยู่ได้อย่างไร
ประเด็นปัญหา “พื้นที่” ทางวรรณกรรมที่หดหายและเปลี่ยนแปลงไปนั้นสำคัญก็จริงอยู่ แต่ประเด็นปัญหา “พื้นฐาน” คุณภาพของงานวรรณกรรมก็สำคัญไม่แพ้กันด้วย
ค่ายวรรณกรรมจึงจำเป็นยิ่งที่จะต้องมีเพื่อแก้ปัญหา “พื้นฐาน” ขณะที่เวทีประกวดวรรณกรรมก็จำเป็นต้องมีเพื่อแก้ปัญหา “พื้นที่”
ปัจจุบันดูจะมีอยู่สองสถาบันที่สนับสนุนการแก้ปัญหาวรรณกรรมครบวงจรทั้งพื้นที่และพื้นฐานคือธนาคารกรุงเทพร่วมกับสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นจัดประกวดวรรณกรรมรางวัลชมนาด และจัดค่ายวรรณกรรม “อ่านเขียนเรียนรู้สู่งานวิจารณ์”
นอกจากนี้ จำเพาะธนาคารกรุงเทพยังร่วมเป็นเจ้าภาพรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียนคือซีไรต์ด้วย
สำคัญยิ่งอีกค่ายของธนาคารกรุงเทพคือ “ค่ายกวีปากกาทอง” ที่ร่วมมือกับ ม.ราชภัฏทุกภาค
อีกสถาบันเอกชนที่ทำครบวงจรคือจัดทั้งรางวัลและค่ายวรรณกรรมคือ ซีพี.ออลล์ ที่มีทั้งรางวัลเซเว่นบุ๊ก และค่ายวรรณกรรม ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง
นี้เป็นบูรณาการร่วมกันของการยกระดับมาตรฐานวรรณกรรมที่ถือเป็นภูมิปัญญาของชาติ
จำเพาะงานวิจารณ์นั้นเป็นความจำเป็นที่ยังขาดอยู่ในสังคมไทยเราแทบทุกสาขา ไม่เพียงในวงการศิลปะทุกแขนงเท่านั้น ที่จริงในแทบจะทุกวงการนั่นเทียว
โดยเฉพาะแวดวงการเมือง
งานใดไร้การวิจารณ์ งานนั้นยากจะพัฒนา
งานศิลปะทุกแขนงของเราก็เช่นกัน ส่วนใหญ่มักยังย่ำเท้าอยู่กับที่ก็เพราะขาดการวิจารณ์ เราจึงพลอยหลงใหลได้ปลื้มกินบุญเก่าอยู่กับความวิเศษสุดอันยากจะแตะต้องได้อยู่เพียงเท่านั้น หาไม่ก็ที่มักเกรงอกเกรงใจ ท่านศิลปินผู้มีสภาวะดั่ง “องค์ลง” เป็นปาปมุติคือพ้นมลทินทั้งปวงไปแล้วนั้น
แท้ที่จริงงานวิจารณ์นั้นเป็น “ศาสตร์” หนึ่ง ไม่ใช่แค่การ “ติชม” ชื่นชอบเชียร์เชลียร์ หรือสับแหลกฟันเละก็หาไม่
เรื่องนี้เป็นปัญหาด้าน “ท่าที” ของงานวิจารณ์ที่ดูเหมือนจะยังไม่มีการศึกษากันอย่างจริงจัง
สมัยหลังสิบสี่ตุลาหนึ่งหกเคยมีการพูดคุยเรื่องเหล่านี้อยู่บ้าง คืองานวิจารณ์วรรณกรรมที่มักใช้ท่าที “สับแหลกฟันเละ” เอากับวรรณกรรมที่ประณามว่าเป็น “น้ำเน่า” บรรดามี โดยไม่จำแนกจนต้องเริ่มปรับตัว
ปัญหา “ท่าที” จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในงานวิจารณ์
ค่าย “อ่านเขียนเรียนรู้สู่งานวิจารณ์” ซึ่งจัดเป็นครั้งที่ห้าปีนี้ จำแนกเป็นสามด้านคือ กวีนิพนธ์ สารคดี และเรื่องสั้น
ดูจากความกระตือรือร้นมุ่งมั่นเอาจริงของผู้เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นเยาวชนคนหนุ่มสาวจากหลายสถาบันแล้ว พอจะหวังได้ถึง “พื้นฐาน” ที่จะสร้าง “พื้นที่” ให้กับโลกวรรณกรรมไทยต่อไปได้ทันยุคทันสมัยกับโลกอนาคต
แท้จริงงานอ่านเขียนเรียนรู้และงานวิจารณ์เป็นองค์รวมของวาทธรรมที่ว่า “วิชชาจารณะ สัมปันโน” ที่เป็นบทสรรเสริญคุณของพระพุทธนั่นเอง เป็นสัจธรรมที่เป็นวิทยาศาสตร์ยิ่ง ด้วยแปลว่า
ถึงพร้อมด้วยความรู้และการปฏิบัติ
ดังศัพท์วิชชา คือความรู้ จารณะ คือการปฏิบัติ สัมปันโน คือสมบูรณ์ แปลว่า ถึงพร้อม
ศัพท์วิทยาศาสตร์สังคมอธิบายโดยนัยว่า “ในทฤษฎีมีปฏิบัติในปฏิบัติมีทฤษฎี”
ดังนั้น ทั้งอ่านเขียนเรียนรู้สู่งานวิจารณ์จึงเป็นกิจกรรมที่ดำเนินตามครรลองของ “วิชชาจารณะ สัมปันโน” คือถึงพร้อมด้วยความรู้และการปฏิบัติโดยแท้…
เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกภาคส่วนในสังคมเรา
ยังขาดอยู่