พายุในถ้วยน้ำชา / ฉบับประจำวันที่ 15-21 พฤศจิกายน 2562

กรณีพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ตอนนี้น่าสนใจ
พรรคภูมิใจไทยเริ่มมีการเคลื่อนไหวไม่ปกติมาตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน
โดยระหว่างการประชุมพรรค
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย แจ้งต่อที่ประชุมมีรายการของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ผู้ดำเนินรายการมีการพูดพาดพิงตนเองและพรรคภูมิใจไทย
โดยให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง
จึงจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 คน และบริษัทสื่อต้นสังกัด ในฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
โดยนายศักดิ์สยามจะไปแจ้งความที่ จ.บุรีรัมย์และมอบอำนาจให้ ส.ส.เขตของพรรคทั้ง 39 คน ไปดำเนินการแจ้งความในพื้นที่ของตัวเอง รวมทั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ทั้ง 12 คน
ซึ่งรวมถึงตัวนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ก็จะไปแจ้งความด้วยเช่นกัน
เรียกว่า ยกพรรคชนสื่อ อย่างเต็มที่

ทําให้ในเวลาต่อมา มีแคมเปญตอบโต้ออกมาจากสื่อในเครือเนชั่น
ที่ระบุว่า
ประชาชน, ข้าราชการ ทั่วประเทศพบเห็นพฤติกรรมของผู้แทนพรรคภูมิใจไทย เข้าข่ายแทรกแซง หรือสั่งการโดยมิชอบ ร้องเรียนมาที่รายการ “เนชั่นสุดสัปดาห์” โดยตรง
หรือผ่านช่องทาง Facebook โดยการ Inbox มาที่ Facebook fanpage…สื่อทุกสื่อของเนชั่น
เรียกว่า ยกสื่อทั้งเครือ ชนพรรคภูมิใจไทย เช่นกัน
โดยเครือเนชั่นยืนยันว่า เป็นการทำหน้าที่ตรวจสอบตามปกติ และทำตามหน้าที่
ยิ่งกว่านั้น
ล่าสุด เครือเนชั่นได้ประกาศเลื่อนการเพิ่มทุนของบริษัทออกไปไม่มีกำหนด
เนื่องจากพบกลุ่มการเมืองแทรกแซงผู้ถือหุ้น เพื่อขัดขวางมติการเพิ่มทุน
ฝ่ายบริหารอ้างว่า การกระทำดังกล่าวเนื่องจากกลุ่มการเมืองนั้นไม่พอใจการนำเสนอข่าวของเครือเนชั่น
ขณะที่นายศุภชัย ใจสมุทร ก็นำเรื่องไปหารือในสภา โดยระบุพรรคกำลังถูกแทรกแซง มากกว่า
ความขัดแย้งระหว่างพรรคกับสื่อ บานปลายออกไปเรื่อยๆ

และที่สุดก็กลายเป็น การเมืองในรัฐบาล เมื่อมีรายงานข่าวแพร่ในสื่อมวลชนต่างๆ สอดคล้องกันว่า
“…กรณีเรื่องที่ทีวีช่องหนึ่งโจมตีการทำงานของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการคมนาคม และเลขาธิการภูมิใจไทย. โดยพรรคได้มีการฟ้องเอาผิดสื่อดังกล่าวและทยอยแจ้งความดำเนินคดีนั้น ล่าสุดทางแกนนำพรรคภูมิใจไทยแจ้งไปยังพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้วว่า รู้ถึงตัวผู้ที่ปล่อยข่าว ซึ่งอยู่ร่วมในคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว อีกทั้งสื่อดังกล่าวมีความใกล้ชิดกับพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จึงแจ้งไปยังผู้ใหญ่ในรัฐบาลว่า หากบุคคลดังกล่าวไม่หยุดปล่อยข่าวให้ร้ายพรรค ภท.อาจจะส่งผลกับการยกมือในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี เป็นรายบุคคลของฝ่ายค้านที่จะเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 18-20 ธันวาคม”
สอดคล้องกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่บอกว่า ส่วนที่สื่อบางฉบับมาตรวจสอบพรรคภูมิใจไทยพรรคเดียว ก็งง มันเกิดอะไรขึ้น เสียดายความสัมพันธ์อันดีที่มีร่วมกัน จริงๆ หากต้องการทราบเรื่องอะไร ให้โทร.มาถามก็ได้ แต่กลับมาพูดในทางตรงกันข้าม แบบนี้มีทิฐิหรือไม่
“ผมรู้นะ ว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่ผมจะไม่บอก เพราะเป้าหมายจะรู้ตัว และผมจะไม่ไปหารือกับใครทั้งนั้น ผมอยากให้รัฐบาลไม่ต้องมาปวดหัวกับเรื่องแบบนี้ ให้เอาเวลาไปคิดเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจดีกว่า เรื่องปากท้องเป็นเรื่องสำคัญ”

แกะรอยตามคำพูดของแกนนำพรรคภูมิใจไทย และรวมถึงการลุยดำเนินคดีสื่อนั้น ทำให้เกิดคำถามว่า ใครคือผู้ปล่อยข่าว
ซึ่งก็คงไม่ธรรมดา เพราะพรรคภูมิใจไทยกล่าวหาว่า “อยู่ร่วมในคณะรัฐมนตรี”
และได้มีการแจ้งไปยังแกนนำจัดตั้งรัฐบาลให้หยุดการกระทำดังกล่าวแล้ว
ซึ่งนั่นก็สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันบาดหมางในพรรคร่วม และหากไม่ยุติอาจส่งผลต่อการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในช่วงเดือนธันวาคมได้
นี่ย่อมเป็นการบ้านให้พรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล จะต้องสะสาง ทั้งคนที่ปล่อยข่าว และคนที่ถูกกล่าวหาว่าปล่อยข้อมูลให้สื่อ!
มิฉะนั้น เรื่องนี้อาจจะมิใช่แค่พายุในจอกน้ำชา
แต่จะเป็นพายุใหญ่ ท้าทายเรือเหล็กของรัฐบาลโดยตรง

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็น่าจับตามอง
เพราะได้ทำให้การตั้งกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลายเป็น ปมการเมืองร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ
ด้วยการเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าเป็นผู้เหมาะสมที่จะนั่งประธาน กมธ.ชุดนี้ด้วย
โดยผู้ที่เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันในกรณีนี้คือ นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งเคลื่อนไหวอย่างก้าวร้าวดุดัน แบบชนิดไม่เกรงใจใคร
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ก็วางเฉยมิได้ห้ามปราม แถมเอนเอียงตามข้อเสนอนายเทพไท
บทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นลักษณะแยกกันเดินอย่างชัดเจน ระหว่างการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคการเมืองในสภา
แน่นอน ย่อมทำให้พรรคพลังประชารัฐอึดอัด คับข้อง และลำบากใจอย่างไม่ต้องสงสัย
ที่สุดก็มีคนในพรรคพลังประชารัฐออกมาสกัดนายอภิสิทธิ์ และยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ มิใช่พรรคประชาธิปัตย์
พร้อมทั้งยืนกรานให้ประธาน กมธ. จะต้องมาจากพรรคแกนนำ
ทำให้นายเทพไท พาดพิงถึง พล.อ.ประยุทธ์ โดยให้ส่งสัญญาณถึงพรรคพลังประชารัฐเพื่อไม่ให้ขัดขวางนายอภิสิทธิ์
ด้วยเหตุผลว่าพล.อ.ประยุทธ์คือหัวหน้าพรรคตัวจริงของพรรคพลังประชารัฐ
ท่าทีและความเห็นนายเทพไท ย่อมสะเทือนถึงพล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐ ที่ตอนนี้ก็ละล้าละลัง
ด้านหนึ่งต้องการ “นำ” ในเรื่องของรัฐธรรมนูญ
แต่ก็ยากที่จะบอกจุดยืนว่า “แก้” หรือนำเพื่อ “สกัด” การแก้รัฐธรรมนูญ
ภาวะที่แจ่มชัดไม่ได้นี้เอง ทำให้พรรคพลังประชารัฐเสียเปรียบประชาธิปัตย์
ที่สามารถเล่นไพ่หน้าไหนก็ได้
หากถูกสกัดก็โยนไปยังพรรคแกนนำ
หากได้ไฟเขียวก็พร้อมลุย
ได้เปรียบ “การเมือง” ทุกด้าน
ถือเป็นมิตรทางการเมืองอันพะอืดพะอม
ซึ่งจะว่าเป็นเรื่องธรรมดาแบบพายุในถ้วยน้ำชา ก็คงพอได้
แต่คำถามก็คือ พลังประชารัฐจะใจใหญ่ไปได้ตลอดทางหรือไม่ และเรื่องจะบานปลายออกไปแค่ไหน

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในพรรคร่วมรัฐบาลตอนนี้
กำลังพิสูจน์สำนวน
A storm in teacup.
พายุในถ้วยน้ำชา
อันหมายถึง ปัญหาที่อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ แต่จริงๆ แล้วเล็กนิดเดียว
อย่างแหลมคม
แหลมคม ว่า ข่าวใหญ่ที่เป็นข่าวพาดหัวสื่อมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
มิใช่เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องเล็กนิดเดียว
เจรจาตกลงกันได้ ทุกอย่างก็จบ รัฐนาวาเหล็กก็ลอยลำอย่างสบายใจต่อไป
สะท้อนจากคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กล่าวอย่างมั่นใจ ว่า ยังอยู่อีกนานพอสมควร
จริงหรือ?!?