จรัญ มะลูลีม : อิมรอน ข่าน กับมุมมองต่อแคชเมียร์

จรัญ มะลูลีม

เกี่ยวกับการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพ โดยมีผู้ใช้ระเบิดพลีชีพเข้าโจมตีในเหตุการณ์ 9/11 ดังนั้น ทุกๆ รูปแบบของทฤษฎีทั้งหลายจึงออกมาเหมือนกันคือการโจมตีโดยการพลีชีพเป็นการกระทำที่อยู่เคียงคู่กับอิสลาม

ไม่มีใครเป็นห่วงการวิจัยถึงการใช้ระเบิดของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ (Tamil Tigers) และกามิกาเซ่ของญี่ปุ่น ไม่มีใครอ้างศาสนาของพวกเขาเมื่อพวกเขาโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพ และก็เป็นเช่นนั้น เนื่องจากไม่มีศาสนาใดสอนเรื่องความรุนแรง

สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมก็คือ ผมต้องการจะพูดและอธิบายถึงอิสลาโมโฟเบียนี้ ในฐานะที่ผมเคยเล่นคริกเก็ตที่ตะวันตกและผมรู้ว่าความคิดของตะวันตกทำงานอย่างไร หนึ่งในเหตุผลสำหรับอิสลาโมโฟเบียก็คือ ในปี 1989 หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ขึ้นมาใส่ร้ายและเย้ยหยันศาสดาของเรา (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน)

ตะวันตกไม่เข้าใจว่าอะไรคือปัญหา พวกเขาไม่ได้มองไปที่ศาสนาอย่างที่เรามอง ดังนั้น ในสายตาของพวกเขา อิสลามเป็นศาสนาที่ใจไม่กว้าง มันกลายเป็นจุดเปลี่ยน

และทุกๆ 2-3 ปี ใครบางคนก็จะเย้ยหยันศาสดาของเรา (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) มุสลิมก็จะตอบโต้และตะวันตกก็จะเรียกพวกเขาว่าพวกใจแคบ ผมตำหนิคนบางคนในตะวันตกที่ปลุกเร้าเรื่องของมุสลิมขึ้นมา แต่ผู้นำมุสลิมส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ที่ทำให้ชุมชนมุสลิมตกต่ำเช่นกัน ศาสดาของเรา (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) เป็นประจักษ์พยานให้กับคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้า นั่นคืออัลกุรอานอันประเสริฐ

ศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) คืออุดมคติที่เราต้องดำเนินตาม ท่านศาสดาได้สร้างรัฐมะดีนะฮ์ ซึ่งเป็นรัฐสวัสดิการขึ้นมา

ผมได้ยินเรื่องราวแปลกๆ ที่ว่าอิสลามต่อต้านผู้หญิงและชนกลุ่มน้อย รัฐมะดีนะฮ์ (Madina) เป็นรัฐแรกที่รับผิดชอบสตรี หญิงม่าย คนยากจน รัฐประกาศว่ามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าสีผิวของพวกเขาจะเป็นสีอะไรก็ตาม

ท่านศาสดา (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ประกาศว่าความดีอันยิ่งใหญ่ก็คือการปลดปล่อยทาส แต่หากว่าท่านมีทาสก็จงดูแลให้เท่าเทียมกับสมาชิกในครอบครัว

และผลที่ตามมาก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือทาสได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ และราชวงศ์ทาสทั้งหลายก็ถูกก่อรูปขึ้นมา

เช่นเดียวกับเรื่องของชนกลุ่มน้อยในอิสลาม นับเป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่จะปกป้องศาสนสถานแห่งการปฏิบัติศาสนกิจของทุกศาสนา มนุษยชาติทุกคนได้รับการประกาศว่าล้วนมีความเท่าเทียมกัน กาหลิบท่านที่ 4 แห่งนครมะดีนะฮ์แพ้คดีในศาลต่อพลเมืองชาวยิว ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้

เมื่อชุมชนมุสลิมอยุติธรรมต่อชนกลุ่มน้อย มันเป็นการต่อต้านคำสอนของศาสนา ศาสดาของเรา (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) อยู่ในดวงใจของเรา

และเมื่อท่านถูกใส่ร้าย มันทำให้พวกเราเจ็บปวด

 

ผมนึกอยู่เสมอว่า ผมจะพูดและให้ความรู้กับโลกเกี่ยวกับอิสลาม หากว่าผมได้ยืนอยู่บนเวทีนี้ ในสังคมตะวันตก การทำลายล้างชาวยิว (holocaust) ถูกมองว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะมันทำความเจ็บปวดให้ชุมชนชาวยิว ดังนั้น เช่นเดียวกับสิ่งที่พวกเราเรียกร้องอยู่ อย่าได้ทำให้ความรู้สึกของเราเจ็บปวดด้วยการให้ร้ายศาสดา (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ของเรา

ถึงตอนนี้ผมต้องการเปลี่ยนมาพูดเรื่องแคชเมียร์ เมื่อเราเข้าสู่อำนาจ ข้อเลือกแรกก็คือ ปากีสถานจะเป็นประเทศที่พยายามอย่างดีที่สุดที่จะนำเอาสันติภาพมาให้

ด้วยความร่วมมือในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ปากีสถานได้ก้าวผ่านช่วงสมัยที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว เราสูญเสียผู้คนไป 70,000 คนในสงคราม และเงินอีก 150 พันล้านดอลลาร์ ที่มาจากเศรษฐกิจของเรา

เราเข้าร่วมสงครามต่อต้านโซเวียตในทศวรรษ 1980 โดยปากีสถานเป็นผู้ฝึก “มุญาฮิดีน” ในตอนนั้น โดยการนำของสหรัฐ โซเวียต เรียกพวกมุญาฮิดีนว่า “ผู้ก่อการร้าย” โดยทันทีโซเวียตมองพวกเราว่าเป็นผู้ให้ความร่วมมือกับมุญาฮิดีน มันกลายเป็นฝันร้าย และพวกเขาหันมาต่อต้านพวกเรา

ชาวปากีสถาน 70,000 คนเสียชีวิตในสงครามที่ปากีสถานไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรด้วย ไม่มีชาวปากีสถานเข้าไปข้องเกี่ยวในเหตุการณ์ 9/11 ดังนั้น เมื่อเราเข้าสู่อำนาจ เราจึงตัดสินใจปลดกองทหารอาสาสมัครทั้งหมด และนี่เป็นการตัดสินใจของทุกพรรคการเมือง

ผมรู้ว่าอินเดียจะพูดอยู่เสมอว่า เรามีองค์การต่างๆ ของทหารอาสาสมัคร แต่ผมได้เชิญผู้สังเกตการณ์ของสหประชาชาติให้มาดูและมาเห็นโดยตัวของพวกเขาเอง ประการที่สอง เราเริ่มซ่อมแซมรั้วต่างๆ ร่วมกับอัฟกานิสถาน อิหร่าน ขอให้ผมบอกถึงความสัมพันธ์ของผมกับอินเดีย อันเนื่องมาจากคริกเก็ต (cricket) ซึ่งได้รับการติดตามอย่างใจจดใจจ่ออย่างที่สุด โดยในอนุทวีป ผมมีเพื่อนที่ยิ่งใหญ่ในอินเดีย ผมจะชอบไปอินเดียอยู่เสมอ

ดังนั้น การเคลื่อนไหวแรกของผมคือการเข้ามาถึงโมดี และผมขอให้มาแก้ไขความแตกต่างกันดีกว่าปล่อยให้อดีตผ่านเลยไป

และข้อเลือกแรกที่สำคัญของเราซึ่งเรามีปัญหาคล้ายคลึงกันคือความยากจน การเปลี่ยนแปลงทางอากาศ การที่คนจำนวนมากอาศัยอยู่ในอนุทวีป

 

เมื่อไม่มีการขานรับใดๆ จากอินเดีย พวกเราจึงคิดว่าพรรคภารัตติยะ ชะนะตะ (BJP) เป็นพรรคแห่งชาติ ในขณะเดียวกันเด็กชายชาวแคชเมียร์ที่ได้รับความรุนแรงโดยกองกำลังอินเดียได้ระเบิดพลีชีพตัวเองในอินเดียต่อหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงของอินเดีย โดยทันทีอินเดียก็จะประณามปากีสถาน

ผมบอกอินเดียให้หาหลักฐานมาพิสูจน์และเราก็จะปฏิบัติตาม เรามีหลักฐานแน่นอนในการแทรกแซงของอินเดีย จากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในจังหวัดบาลูชิสตาน (Baluchistan) เราสามารถจับกุมกุลบลูชาน ยาดาฟ (Kulhhushan Yadav) ซึ่งยอมรับอาชญากรรมที่เขาก่อขึ้น

แทนที่จะร่วมกันหาข้อพิสูจน์ว่าชาวปากีสถานเข้าไปข้องเกี่ยวในการโจมตีที่พุลวามา (Pulwama attack) พวกเขาพยายามจะถล่มพวกเรา เราก็ตอบโต้ เราจับนักบินของพวกเขา แต่ก็คืนเขาไปในวันต่อมา เราไม่ต้องการให้สถานการณ์ขยายตัวออกไป

ในการรณรงค์หาเสียง โมดีใช้คำอย่างเช่น “นี่เป็นแค่ตัวอย่างของหนังที่ยังจะต้องเข้าฉาย” เราคิดว่าหลังเลือกตั้งเราจะกลับไปมีความสัมพันธ์ตามปกติ แต่ก็ไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น หลังการเลือกตั้ง เรายอมรับว่าชาวอินเดียพยายามจะผลักไสเราด้วยการห้ามเราไม่ให้เข้ามามีส่วนในกองทุนการเงินในปราบปรามการก่อการร้าย (FATF) ทางเศรษฐกิจเพื่อโดดเดี่ยวเรา เมื่อเรารับรู้ว่ามีภารกิจอยู่ จากนั้นก็มีการยกเลิกมาตรา 370 ซึ่งให้สถานะพิเศษแก่แคชเมียร์ก็เกิดขึ้น

พวกเขาเพิ่มจำนวนทหารเข้าไปในแคชเมียร์ และทำให้คน 8 ล้านคนตกอยู่ใต้ภาวะฉุกเฉิน