ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 พฤศจิกายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
“อาบู บัคร์ อัล-บักดาดี มีชีวิตและตายในฐานะคนที่มีอิทธิพล
และโหดร้ายมากที่สุดคนหนึ่งในโลกสมัยใหม่”
The Guardian (27 October 2019)
โลกของการก่อการร้ายหลังจากเดือนกรกฎาคม 2014 เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ด้านหนึ่ง ผู้นำของการก่อการร้ายคนสำคัญของกลุ่มอัลกออิดะห์คือ อุซามะฮ์ บิน ลาดิน เสียชีวิตจากปฏิบัติการตามล่าตัวของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
อีกด้านหนึ่ง ในช่วงเวลาดังกล่าว กลุ่มรัฐอิสลาม (The Islamic State-IS) ประกาศเปิดตัวในเวทีการต่อสู้ในอิรัก และมีบักดาดีเป็นผู้นำ (Abu Bakr al-Baghdadi)
ความแตกต่างอย่างสำคัญจากขบวนติดอาวุธของโลกมุสลิมจากอดีตก็คือ บักดาดีประกาศตัวเป็น “กาหลิบ” (caliph) หรืออีกนัยหนึ่งเขาประกาศตัวเป็น “ผู้นำทางการเมืองและศาสนา” ของประชาคมมุสลิมโลก
แม้จะมีเสียงวิจารณ์และต่อต้านอย่างมากจากผู้นำศาสนาอิสลามต่อการประกาศครั้งนี้เพียงใดก็ตาม
แต่คำประกาศดังกล่าวกลับกลายเป็นแรงบันดาลใจ และกลายเป็น “จุดดึงดูดใจ” ที่สำคัญให้คนหนุ่มสาวชาวมุสลิมนับพันคนตัดสินใจเข้าร่วมการต่อสู้ภายใต้ร่ม “ธงดำ” ที่เป็นสัญลักษณ์ของขบวนการนี้…
ภาพของ “นักรบต่างชาติ” ที่เดินทางเข้าสู่สนามรบในอิรักและซีเรีย บ่งบอกถึงการขยายตัวของขบวนการดังกล่าว
ที่มาพร้อมกับการแพร่กระจายของชุดความคิดใหม่ของโลกมุสลิมอย่างมีนัยสำคัญต่อทั้งการเมืองในตะวันออกกลาง การเมืองโลก และการก่อการร้าย
การสังหารและจุดจบ!
กลุ่มรัฐอิสลามมีอาการถอยร่นจากปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายต่างๆ เห็นได้ชัดว่า จากปี 2017-2018 นั้น กลุ่มสูญเสียพื้นที่การควบคุมและฐานที่มั่นหลักอย่างต่อเนื่อง ผลจากการถดถอยเช่นนี้จึงตามมาด้วยการค้นหาตัวผู้นำของกลุ่มมาโดยตลอด
ในช่วงห้าปีตั้งแต่กลางปี 2014 จนถึงปี 2019 นั้น บักดาดีเป็นบุคคลที่ถูกตามล่าตัวมากที่สุดในโลก และต้องยอมรับว่าเขาเป็นบุคคลหนึ่งที่ท้าทายต่องานข่าวกรองที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดของประเทศมหาอำนาจใหญ่อย่างสหรัฐ (ไม่แตกต่างจากกรณีของบิน ลาดิน ที่ถูกตามล่าหลายปีจากหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐเช่นกัน)
ในที่สุดบ้านพักที่หลบซ่อนของบักดาดีที่เมืองอิดลิบ (Idlib) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรียก็ถูกค้นพบ
แม้เขาจะพยายามหลีกเลี่ยงการเฝ้าตรวจของสหรัฐ เช่น เปลี่ยนที่พักเสมอ ไม่เดินทางเป็นขบวน และหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือ เพื่อป้องกันการติดตามของสหรัฐ
แต่พื้นที่ที่เขาหลบมาพักพิงที่อิดลิบนั้น กำลังถูกเข้าควบคุมโดยกำลังของซีเรียและรัสเซีย
อีกทั้งกองกำลังติดอาวุธของชาวมุสลิมในพื้นที่ก็เป็นศัตรูกับกลุ่มรัฐอิสลามด้วย
แม้การล่าตัวในจุดสุดท้ายเกิดจากปฏิบัติการของหน่วยรบพิเศษของสหรัฐที่ใช้เวลาสองชั่วโมง
แต่บักดาดีตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยเข็มขัดระเบิดเพื่อยุติชีวิตของตนเอง (เหตุเกิดในช่วงกลางคืนของวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม)
[ปฏิบัติการนี้ตั้งชื่อตามเอ็นจีโอหญิงชาวอเมริกัน ชื่อ Kayla Mueller ที่ถูกกลุ่มรัฐอิสลามจับ ทรมาน และสังหาร และยังมีผู้สื่อข่าวชายชาวอเมริกันถูกกลุ่มนี้สังหารเสียชีวิตอีก 2 คนด้วย]
บักดาดีคือใคร…
สำคัญอย่างไร
จากข้อมูลที่เชื่อว่าบักดาดีเกิดในปี 1971 ที่เมืองซามาร์รา (Samarra) ในภาคกลางของอิรัก
เขามีปัญหาด้านสายตา ทำให้ไม่สามารถเข้ารับราชการในกองทัพอิรักได้
แต่ผลจากสถานการณ์สงครามในปี 2003 เมื่อกองทัพสหรัฐส่งกำลังเข้าเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในอิรัก ทำให้เขาเข้าร่วมกับกองกำลังของกลุ่มอัลกออิดะห์ และก้าวขึ้นเป็นผู้นำกลุ่มนี้ในอิรัก
แต่ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2014 เขาประกาศแตกหักและแยกตัวออกมาเพื่อจัดตั้งกลุ่มรัฐอิสลาม หรือที่ต่อมาเรียกกันว่า “กลุ่มรัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย” (The Islamic State of Iraq and Syria-ISIS)
ขบวนติดอาวุธชุดนี้ไม่เพียงประกาศตัวเป็นผู้นำทางการเมืองและศาสนาของโลกมุสลิมเท่านั้น
หากยังก้าวไปถึงความพยายามในการก่อตั้ง “รัฐอิสลาม” ที่เป็นรัฐทางกายภาพ
ดังจะเห็นได้ว่ากลุ่มนี้มีทิศทางชัดเจนในการยึดและควบคุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
ในขณะที่กลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ ไม่มีลักษณะดังกล่าว และยังเห็นถึงการบริหารพื้นที่ในแบบที่เป็นรัฐ เช่น มีระบบเก็บภาษี ระบบการบริการสาธารณะ และรวมทั้งมีระบบยุติธรรมเป็นของตนเอง
ต้องยอมรับในช่วงมากกว่าห้าปีของการเคลื่อนไหว (2014-2019) บักดาดีและกลุ่มของเขาไม่เพียงท้าทายต่อการคงอยู่ของระบอบการปกครองในตะวันออกกลางเท่านั้น หากยังท้าทายต่อการกำหนดทางภูมิรัฐศาสตร์ของเส้นเขตแดนในตะวันออกกลางอีกด้วย
พร้อมกับภาพของการชู “ธงดำ” ที่เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มในหลายจุดในภูมิภาค และเห็นได้ชัดว่าในช่วงขาขึ้นนั้น กองกำลังของกลุ่มสามารถยึดเมืองและเอาชนะกำลังของรัฐบาลในหลายจุด จนเป็นเสมือนการล้มลงของโดมิโนในตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นโมซุล เคอร์คุกค์ รักกา อเลปโป
อันส่งผลให้กลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็น “ภัยคุกคามหลัก” และยิ่งเมื่อมีการนำเอาหลักทางศาสนามาเป็นทิศทางในการประกาศตัว จึงสามารถดึงคนหนุ่มสาวมุสลิมจำนวนมากเข้าร่วมในฐานะ “นักรบต่างชาติ” กลุ่มก็ยิ่งถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เป็นที่รับรู้กันว่ากลุ่มมีความโหดร้าย เช่น การตัดคอตัวประกัน และเผยแพร่การกระทำดังกล่าวผ่านวิดีโอ
อีกทั้งเชื่อว่าการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในยุโรปหลังจากมกราคม 2015 เป็นต้นมา รวมทั้งอีกหลายแห่งในทั่วโลกมีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม
ทำให้ในปี 2016 บักดาดีมีเงินรางวัลนำจับสูงถึง 25 ล้านเหรียญสหรัฐ
แม้จะมีรายงานถึงการบาดเจ็บและเสียชีวิตของเขาหลายครั้งจากการโจมตีทางอากาศของสหรัฐ แต่เขาก็ตอบโต้ด้วยการเผยแพร่เทปเสียงและวิดีโอ เพื่อยืนยันว่ายังมีชีวิตอยู่
ในทางการทหารนั้น ถือว่าเดือนมีนาคม 2019 เป็นจุดสุดท้ายของกลุ่มรัฐอิสลาม เพราะฐานที่มั่นสุดท้ายในซีเรียที่เมือง Baghouz ถูกตีแตก
การเสียฐานที่มั่นนี้เป็นการสูญเสียทั้งในทางกายภาพ ทางวัตถุ และทางสัญลักษณ์ ที่ส่งสัญญาณว่าโอกาสของการจัดตั้งรัฐอิสลามในบริบทของความเป็นรัฐในทางกายภาพนั้นถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
อันส่งผลให้ความชอบธรรมในการกล่าวอ้างเพื่อจัดตั้งรัฐเช่นนั้นกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ด้วย
และเมื่อตามมาด้วยการเสียชีวิตของผู้นำด้วยแล้ว ย่อมส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มทั้งในทางการเมืองและการทหาร
ซึ่งคงต้องยอมรับว่าบักดาดีไม่ใช่เพียงผู้นำการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธเท่านั้น หากเขายังมีสถานะเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาของโลกมุสลิมในหมู่ผู้ศรัทธา
แน่นอนว่าการเสียชีวิตครั้งนี้ ย่อมทำให้กลุ่มขาดผู้นำที่มีบารมี และอาจทำให้ความเข้มแข็งของกลุ่มลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต
ที่สำคัญ ย่อมทำให้ความชอบธรรมในการสร้างความเป็นรัฐอิสลามเช่นที่ถูกนำเสนอในเวทีสาธารณะลดทั้งความชอบธรรมและความเป็นไปได้ลง
ซึ่งอาจทำให้กลุ่มนี้ในอนาคตแม้จะยังคงมีชื่อว่ากลุ่มรัฐอิสลาม ก็อาจเป็นเพียงกลุ่มติดอาวุธที่มีแนวคิดสุดโต่งเช่นเดียวกันกับขบวนการอื่นๆ
แต่ก็มิได้หมายความว่ากลุ่มนี้จะสิ้นสุดหมดบทบาทไปเลย
เพราะขบวนการก่อการร้ายไม่เคยสิ้นสุดลงด้วยการเสียชีวิตของผู้นำสูงสุด
ดังเช่นอัลกออิดะห์ ก็ไม่ได้จบบทบาทไปพร้อมกับการเสียชีวิตของบิน ลาดิน
และบักดาดีเองก็ไม่ใช่ผู้ควบคุมปฏิบัติการของกลุ่มแต่อย่างใด
เสถียรภาพ?
หากย้อนกลับไปพิจารณาสถานการณ์ในอิรัก เห็นได้ชัดว่าการกำเนิดของกลุ่มติดอาวุธที่มีแนวคิดทางการเมืองแบบสุดโต่งนั้น เกิดจาก “ช่องว่างของอำนาจ” ในพื้นที่
ขณะเดียวกันเห็นชัดว่ารัฐบาลท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นในอิรักและในซีเรียมีปัญหาเดียวกันคือ ความอ่อนแอของอำนาจรัฐ
เช่น รัฐบาลไม่มีขีดความสามารถในการบริหารจัดการทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ
อีกทั้งรัฐบาลยังไม่สามารถค้ำประกันความยุติธรรมในสังคมได้ ช่องว่างของอำนาจเช่นนี้ผสานเข้ากับสงครามของสหรัฐในการล้มรัฐบาลของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซ็น ในปี 2003 ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ในอิรักยุ่งยากมากขึ้น
สงครามเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบและตามมาด้วยการเข้าควบคุมอิรัก (หรือในอีกมุมหนึ่งคือการยึดครองอิรัก) เงื่อนไขเช่นนี้เปิดโอกาสให้บรรดากองกำลังติดอาวุธที่ต่อต้านสหรัฐและชาติพันธมิตรตะวันตกมีพื้นที่การเคลื่อนไหวมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถระดมคนให้เข้าร่วมการต่อสู้ได้มากขึ้น ยิ่งเมื่อผสมผสานเข้ากับรัฐบาลที่อ่อนแอด้วยแล้ว ผลที่ตามมาอย่างชัดเจนก็คือสงครามขยายตัวมากขึ้น
สภาพเช่นนี้ในที่สุดแล้วกลายเป็นปัจจัยอย่างดีที่นำไปสู่การกำเนิดของขบวนการสุดโต่งทางศาสนา (hardline theology)
ดังจะเห็นได้ว่าบักดาดีใช้ระยะเวลาเพียง 9 เดือนเท่านั้นในปี 2004 เพื่อไต่ขึ้นเป็นผู้นำในขบวนการดังกล่าว
และเขายังสามารถโน้มน้าวผู้นำคนอื่นๆ ยอมเปิดทางให้เขาก้าวขึ้นมาในตำแหน่งสูงสุดของขบวน
และในเดือนกรกฎาคม 2014 โลกจึงได้เริ่มเห็นการปรากฏตัวของขบวนติดอาวุธชุดใหม่ของโลกอิสลาม
ในขณะเดียวกันโลกก็เห็นการลดอิทธิพลของขบวนติดอาวุธเดิมอย่างอัลกออิดะห์
ดังจะเห็นได้ชัดว่า โลกของการก่อการร้ายหลังจากกลางปี 2014 เป็นต้นมาแล้ว ล้วนเกิดจากแรงขับเคลื่อนของกลุ่มรัฐอิสลามเป็นสำคัญ
ในอีกด้านหนึ่งก็ชี้ให้เห็นว่า กองทัพหลักของรัฐบาลอิรักและซีเรียที่ประสบกับปัญหาต่างๆ และมีความอ่อนแออย่างมากนั้น ไม่สามารถรับมือกับการขยายตัวของกลุ่มรัฐอิสลามได้
เช่น กองทัพอิรักต้องเผชิญกับสงครามของสหรัฐถึงสองครั้งในปี 2001 และปี 2003 จึงยังไม่สามารถที่จะสร้างเอกภาพและความเข้มแข็งทางทหารในแบบเดิมได้
ในขณะที่ซีเรียเองก็ต้องเผชิญกับสงครามกลางเมือง สงครามภายในเช่นนี้นำความแตกแยก และทำลายขีดความสามารถทางทหารของกองทัพลงอย่างมาก
ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการรุกทางทหารของกลุ่มรัฐอิสลามแล้ว กองทัพทั้งสองอาจจะมีกำลังพลมากกว่า แต่กลับเป็นฝ่ายถอยร่นในสนามรบ
ดังนั้น ในปัจจุบันจึงเห็นได้ว่าปัจจัยสำคัญในการทำสงครามต่อสู้กับกลุ่มรัฐอิสลามในอิรักจึงเป็นบทบาททางทหารของสหรัฐ และในซีเรียก็เป็นบทบาทของกองทัพรัสเซีย
ดังจะเห็นได้ว่ากำลังรบทางอากาศของสหรัฐและรัสเซียมีบทบาทอย่างมากในสงครามครั้งนี้ รวมถึงบทบาทที่สำคัญอีกส่วนมากจากปฏิบัติการทหารของกองกำลังของชาวเคิร์ด กองกำลังส่วนนี้ได้รับความสนับสนุนทางทหารจากสหรัฐ และมีขีดความสามารถอย่างมากในการทำสงครามกับกลุ่มรัฐอิสลาม
การตัดสินใจของทำเนียบขาวในการถอนตัวออกจากซีเรีย และที่สำคัญคือตัดสินใจที่จะละทิ้งกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ด (YPG) จึงอาจเป็นการตัดสินใจที่มีความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง
เพราะการตัดสินใจเช่นนั้นจะนำไปสู่การเกิด “ช่องว่างของอำนาจ” ในอีกแบบ และอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสนามรบภาคพื้นดิน
เพราะปฏิบัติการนี้ยังคงต้องการกำลังรบภาคพื้นดินที่จะปิดช่องว่างดังกล่าว และการปล่อยให้เกิดช่องว่างขึ้นทั้งในทางการเมืองและการทหาร จะกลายเป็นโอกาสให้ตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐกลับเข้ามามีบทบาทได้อีกครั้ง ดังเช่นที่เห็นได้จากการกำเนิดของกลุ่มรัฐอิสลามในปี 2014
นอกจากนี้ปัจจัยความละเอียดอ่อนของความต่างของนิกายระหว่างชิอะห์กับสุหนี่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญทั้งทางการเมืองและความมั่นคงในกรณีนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มรัฐอิสลามเป็นตัวแทนของความไม่พอใจของชาวสุหนี่
และผลจากการโค่นล้มรัฐบาลซัดดัมโดยกองกำลังของสหรัฐในปี 2003 จึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเท่านั้น หากยังนำไปสู่การลดอิทธิพลของชนชั้นนำชาวสุหนี่ลงด้วย
การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่เกิดขึ้นจึงมีนัยของการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจทางการเมืองที่มีอิทธิพลของกลุ่มสุหนี่ลดลง
ทั้งยังหมายถึงการลดลงของอิทธิพลของกลุ่มสุหนี่ในทางสังคมอีกด้วย ความรู้สึกเรื่อง “ความขมขื่นของสุหนี่” จึงเป็นประเด็นสำคัญ ทั้งในอิรัก เลบานอน และซีเรีย
อนาคตยังไม่สดใส!
ผู้นำของกลุ่มอิสลามถึงจะเสียชีวิตลงแล้ว และฐานที่มั่นหลักถูกทำลายจนหมด เมื่อเมือง Baghouz แตก ก็เท่ากับพื้นที่ในทางภูมิศาสตร์ของกลุ่มนี้สิ้นสุดลงหมด
จนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า “กลุ่มรัฐอิสลามไม่เหลือพื้นที่ในการควบคุมใดๆ อีกต่อไปแล้ว”
และบรรดานักรบของกลุ่มในวันนี้ ถ้าไม่อยู่ในค่ายกักกันในซีเรียตะวันออก ก็อยู่ในคุกในอิรัก จนดูเหมือนว่าบทบาทของกลุ่มนี้กำลังปิดฉากลง
แม้ทรัมป์จะกล่าวว่า “โลกปัจจุบันปลอดภัยมากขึ้นแล้ว” แต่สงครามชุดนี้ยังไม่จบ และมีความกังวลว่าหลังการเสียชีวิตของผู้นำแล้ว จะตามมาด้วยการแก้แค้นกับเป้าหมายในโลกตะวันตก
ในอีกด้านหนึ่ง ระเบียบใหม่ในตะวันออกกลางยุคหลังกลุ่มรัฐอิสลาม ก็อาจจะไม่ได้มีเสถียรภาพดังหวัง!