ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 พฤศจิกายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
โดยมุมานะหฤทัย อดสูดูไขษย
กวีฤๅแล้งแหล่งสยาม ฯ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์ไว้ท้ายเรื่อง “สมุทรโฆษคำฉันท์” เป็นปรารภเหตุที่ทรงมุมานะแต่งวรรณคดีสำคัญจนจบ
ด้วยวรรณคดีสมุทรโฆษคำฉันท์ เป็นเรื่องแต่งค้างไว้แต่สมัยอยุธยา โดยสองกวีคือพระมหาราชครู และสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เริ่มแต่งในรัชกาลของพระองค์ (พ.ศ.2199-2231) ทรงแต่งค้างไว้จวบจนยุครัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 3 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมาฯ จึงทรงนิพนธ์ต่อจนจบเรื่องเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2392
ครบ 170 ปีในปีนี้พอดี
กาพย์ปรารภเหตุข้างต้นนี้มีนัยสำคัญที่ทรงฝากไว้ให้ผู้รักในวิชาหนังสือได้คิดถึงกาลจะเสื่อมสลาย (ไขษย) ของกวีในสยามประเทศนี้
ซึ่งดูน่าเป็นห่วงจริงด้วย
จากสภาพการณ์วิกฤตสิ่งพิมพ์ และอุบัติการณ์โลกจอแผ่นที่เหมือนจะไม่เหลือพื้นที่ให้บทกวีได้ปรากฏเอาเสียเลยนี้ วรรคกวีว่า “กวีฤๅแล้งแหล่งสยาม”
ใกล้จะถึงกาละเสียละกระมัง
ที่เข้ามาแทนพื้นที่สื่อขณะนี้คือเวทีประกวด ดังปรากฏรางวัลวรรณกรรมหลากหลายล้วนตัวเลขเงินรางวัลสูงๆ ล่อนักล่ารางวัลให้หัวปักหัวปำอยู่กับเวทีประกวด บ้างก็ถึงหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อผิดหวัง
เคยนิยามภาวะนี้ว่าเป็นวิกฤตเขาวงกตของโลกวรรณกรรม
เวทีประกวดวรรณกรรมจึงมีสองด้านซ้อนกันอยู่ ด้านดีคือเสริมสร้างคุณค่างานเขียน ด้านร้ายคือก่อกิเลสแก่นักเขียนที่มักตกเป็นเหยื่อของรางวัล
วรรคกวี “โดยมุมานะหฤทัย” นี้ดีนัก
ด้วยมุ่งจิตสำนึกสร้างสรรค์กวีนิพนธ์เป็นหลัก และเป้าหมายเพื่อกวีจะต้องมีอยู่คู่แผ่นดินสยาม ดังวรรคที่ว่า “กวีฤๅแล้งแหล่งสยาม” นั้น
วิกฤตพื้นที่เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตวรรณกรรม วิกฤตสำคัญอีกส่วนคือวิกฤตพื้นฐานภาษานี่เป็นหัวใจหลัก
วิกฤตพื้นที่ย่อมคลี่คลายไปตามสภาพการณ์ของยุคสมัย
วิกฤติพื้นฐานต่างหากจะเป็นจุด “เสื่อมสลาย” คือ “กาลไขษย” ที่แท้จริงของงานวรรณกรรม โดยเฉพาะกวีนิพนธ์ไทย
เวทีประกวดสะท้อนจุดวิกฤตพื้นฐาน โดยเฉพาะกวีนิพนธ์ไทยชัดเจนที่สุด
กวีนิพนธ์นั้นเป็นมงกุฎของวรรณกรรม เพราะคัดคำมากรองความรู้สึกนึกคิดที่เป็นปัญญาของมนุษย์ให้ปรากฏออกมาเป็นบทกวี
มีคำอธิบายขยายความอีกเช่น บทกวีคือการใช้คำที่มีอยู่จำกัด มาถ่ายทอดความรู้สึกอันไม่จำกัดของคนให้ออกมาได้
ท่านอาจารย์ ดร.เจตนา นาควัชระ ท่านเคยนิยามว่า “บทกวีเป็นพลังของสังคม”
ก็ด้วยเหตุว่า บทกวีเป็นความแหลมคมทางปัญญามนุษย์ อันนำมาใช้เป็นพลังสร้างสรรค์สังคมได้นั่นเอง
โดยนัยนี้ พลังปัญญาคือพลังสังคม
ทุกชาติทุกภาษามักมีวาทะโวหารเปรียบเทียบถึงพลังกวี เช่น ญี่ปุ่นมีภาษิตว่า
คำไพเราะคำเดียวทำให้อบอุ่นไปตลอดฤดูหนาวสามเดือน
หรือจีนว่า คำหนึ่งคำมีค่ากว่าหมื่นภาพ และภาพหนึ่งภาพมีค่ากว่าหมื่นคำ
เยอรมันเองอาจารย์เจตนาเคยเล่าว่าอะไรๆ ที่ดีวิเศษนั้นเขาจะตีค่าว่าเหมือนบทกวีได้หมด เช่น อาหารอร่อยก็ว่า “อร่อยเหมือนบทกวี” นั่นเลย
ความวิเศษของความรู้สึกนี่แหละคือรสของบทกวี
ความพิเศษของภาษาแม้จะต่างกัน แต่ที่เหมือนกันก็คือสามารถนำมาแต่งเป็นบทกวีที่มีอานุภาพ มีพลังได้เหมือนกัน
ตัวอย่างภาษาไทย ที่สำคัญคือเป็นหนึ่งของภาษาในโลกที่ยังดำรงอยู่ต่อเนื่องมานับเป็นพันปี กระทั่งมีพื้นฐานโครงสร้างที่ลงตัวจนถึงปัจจุบัน
พื้นฐานสำคัญของภาษาไทยที่โดดเด่นคือเสียงกับจังหวะ อันมีรายละเอียดพิสดารเป็นต่างหากออกไป “หลากหลายและล้ำลึก”
เสียงกับจังหวะเป็นองค์ประกอบของความไพเราะงดงามในทุกสรรพศิลป์นี้ดังเรียกชื่อต่างกันไป เช่น
ในงานจิตรกรรม เสียงคือความเหลื่อมล้ำหรือมิติของแสงเงา ดังเรียกโทนสีนั้น จังหวะก็คือองค์ประกอบที่กำหนดอยู่ในรูปเขียนนั้นๆ
ในประติมากรรมและสถาปัตยกรรมก็เช่นกัน ล้วนมีมิติและทรวดทรง เปรียบดังเสียงและจังหวะนั้นเอง
ดนตรีและนาฏะลีลา ก็เสียงกับจังหวะนี่แหละเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ไพเราะและงดงาม
บทกวีมีเสียงอักษรและวรรณยุกต์กำหนดความเหลื่อมล้ำของเสียง กับมีสระกำหนดจังหวะของถ้อยคำและวรรคตอน ประกอบเป็นโครงสร้างให้เกิดความงาม ความไพเราะ เช่นกันกับศิลปะอื่นทุกแขนง
นี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญกว่าพื้นที่
กวีวรรณ
เขียนคำเป็นคำคำ
คือคำคัดคำจัดแจง
ไม่มีอะไรแปลง
อะไรเปลี่ยนไปจากคำ
เขียนคำด้วยสัมผัส
จัดลำดับเสียงสูงต่ำ
ไพเราะเสนาะล้ำ
ก็คือคำมีทำนอง
เขียนความเป็นเรียงความ
ไปตามขั้นตอนครรลอง
ถึงคำจะคล้องจอง
ก็เป็นได้แค่เรียงความ
เหวยเหวยกวีวรรณ
เห็นไหมนั่นอะไรงาม
อลังการอันเรืองราม
การร่ายรำแห่งภาษา
เศกใจจนแจ้งใจ
ให้หัวใจได้รจนา
มธุรทัศน์ทิพย์ศรัทธา
ผองเนรมิตรกวี!