จรัญ มะลูลีม : โลกในมุมมองของอิมรอน ข่าน

จรัญ มะลูลีม

ประธานาธิบดีปากีสถาน อิมรอน ข่าน (Imran Khan) ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่กระตุ้นอารมณ์ผู้ฟังอย่างมากที่สมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (UNGA) อันเป็นการกล่าวสุนทรพจน์ที่ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกมุสลิมและในหมู่ประชาคมโลกโดยทั่วไป

เรื่องที่นายกรัฐมนตรีอิมรอน ข่าน พูดถึงมีอยู่สี่เรื่องด้วยกันคือ การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ การฟอกเงิน อิสลาโมโฟเบีย และแคชเมียร์

ที่สมัชชาใหญ่สหประชาชาติสมัยการประชุมที่ 72 และในการประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ 9 โดยอิมรอน ข่าน นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐปากีสถานได้นำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจ

ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

 

ผมมายืนอยู่ที่นี่ในเวทีของผู้นำโลก ซึ่งเรามีโอกาสที่จะพูดถึงปัญหาที่โลกกำลังเผชิญอยู่

ผมมาที่เวทีนี้ในช่วงเวลาพิเศษ ทั้งๆ ที่เป็นช่วงเวลาอันยากลำบากที่ประเทศของผมกำลังเผชิญอยู่ ผมคงไม่มาหากว่าไม่มีปัญหาเร่งด่วน ซึ่งโลกจะต้องรับมือด้วย

ประการแรก ขอให้ผมพูดถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก โดยผมเห็นผู้นำจำนวนมากพูดถึงเรื่องนี้ แต่ผมก็ไม่เห็นผู้นำคนใดๆ รับรู้อย่างแท้จริงถึงสถานการณ์อันเร่งด่วนดังกล่าว เรามีความคิดมากมาย แต่ก็เป็นไปอย่างที่พวกเขาพูด นั่นคือ หากไม่มีกองทุน มันก็จะเป็นแค่ภาพลวงตา

ปากีสถานเป็นหนึ่งใน 10 ประเทศของโลกที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก เราขึ้นอยู่กับแม่น้ำต่างๆ ของเรา เราเป็นประเทศที่มีการเกษตรเป็นด้านหลัก ร้อยละ 80 ของน้ำมาจากธารน้ำแข็ง ซึ่งธารน้ำแข็งเหล่านี้กำลังละลายตัวลงอย่างน่าตกใจ

เราตรวจตราทะเลสาบธารน้ำแข็ง 5,000 แห่งในภูเขาต่างๆ ของเรา หากไม่มีการทำอะไร เรากลัวว่ามนุษย์กำลังเผชิญกับความหายนะ

ในจังหวัดคัยเบอร์ ปักตุน ควา (KP) ของปากีสถาน เราได้ปลูกต้นไม้นับร้อยล้านต้นใน 5 ปี ตอนนี้เรามีเป้าหมายอยู่ที่หมื่นล้านต้น แต่ประเทศเดียวไม่สามารถทำอะไรได้ สิ่งนี้จะต้องเป็นความร่วมมือร่วมกันของโลก

การมองโลกในแง่ดีของผมมาจากความจริงที่ว่าพระผู้อภิบาล (Almighty) ได้ให้อำนาจที่ยิ่งใหญ่แก่มนุษย์ เราสามารถกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ ได้ และนี่เป็นสิ่งที่ผมต้องการให้สหประชาชาติเป็นผู้นำในการปลุกเร้าความปรารถนานี้

ประเทศร่ำรวยทั้งหลายที่มีส่วนในการปล่อยให้มีการทำลายชั้นบรรยากาศต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

 

ท่านประธานครับ ทุกๆ ปีเงินนับร้อยๆ ล้านดอลลาร์ได้ออกไปจากประเทศยากจนและไปอยู่กับประเทศร่ำรวย เงินนับร้อยๆ ล้านดอลลาร์เหล่านี้ถูกถ่ายเทด้วยการหลบเลี่ยงภาษี โดยนักการเมืองที่ฉ้อโกง สินทรัพย์ราคาแพงถูกซื้อกันในเมืองหลวงของตะวันตก อันเป็นความเสียหายที่ใหญ่หลวงต่อโลกที่กำลังพัฒนา

การคอร์รัปชั่นก่อความเสื่อมโทรมให้กับโลกที่กำลังพัฒนา ความแตกต่างระหว่างประเทศร่ำรวยและยากจนกำลังเติบโตขึ้น อันเนื่องมาจากเรื่องนี้ การฟอกเงินมิได้รับการจัดการเช่นเดียวกับเงินที่มาจากยาเสพติดหรือการเงินของผู้ก่อการร้าย ทุกวันนี้ประเทศยากจนกำลังถูกปล้นโดยชนชั้นนำทั้งหลายของพวกเขา

ในประเทศของผม ผมได้เขาไปทำงานให้กับรัฐบาลมาหนึ่งปีแล้ว โดย 10 ปีก่อนหน้านี้หนี้สินของเราทั้งหมดพุ่งขึ้นถึง 4 เท่า ผลที่ตามมาก็คือรายได้ที่เราสะสมเอาไว้หนึ่งปีนั้นครึ่งหนึ่งไปอยู่ที่การจัดการด้านหนี้สิน

เราจะใช้เงินกับประชาชน 220 ล้านคนของเราอย่างไร เมื่อเงินของเราถูกปล้นไปโดยชนชั้นนำที่เป็นผู้ปกครอง และเมื่อเราสำรวจทรัพย์สินของผู้นำที่ฉ้อโกงเหล่านี้ที่ไปอยู่ในเมืองหลวงของประเทศตะวันตก เราพบว่ามันยากลำบากที่จะเอากลับคืนมา

หากว่าเราเอาเงินที่ถูกปล้นชิงคืนมาได้ เราก็สามารถใช้เงินเหล่านี้ไปในการพัฒนาได้เช่นกัน แต่ก็มีกฎหมายที่ปกป้องอาชญากรรมเหล่านี้ เราไม่มีเงินที่จะจ้างนักกฎหมายทั้งหลายที่ต้องใช้เงินนับร้อยล้านดอลลาร์

ประเทศร่ำรวยทั้งหลายจะต้องแสดงเจตจำนงทางการเมืองออกมา พวกเขาจะต้องไม่ยอมให้ทุนจากประเทศยากจนที่ถูกฉ้อโกงบินออกจากประเทศยากจนทั้งหลายไป

ประเทศที่ยากจนเหล่านี้จะมาบรรจบกับจุดหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งหลาย (SDG”s) ของสหประชาชาติได้อย่างไร เมื่อเงินสำหรับการพัฒนามนุษย์ไหลออกไปจากประเทศต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

จะต้องมีการยับยั้งผู้ปกครองที่ฉ้อฉลเหล่านี้ พวกเขาจะต้องไม่ได้รับอนุญาตให้นำเอาเงินออกไปเพื่อเอาไปหลบเลี่ยงภาษี ทำไมการหลบเลี่ยงภาษีจึงเป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมายเมื่อคุณมีบัญชีลับทั้งหลายเหล่านี้

โลกกำลังเปลี่ยนแปลง หากว่าคนยากจนต้องจนลง คนรวยยิ่งรวยขึ้น วิกฤตก็จะเกิดขึ้นในไม่ช้า มันจะนำไปสู่วิกฤตการณ์ใหญ่ ธนาคารโลก องค์กรการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียจะต้องหาทางในการหยุดยั้งการปล้นชิงเหล่านี้เสีย

 

ประเด็นที่ 3 ของผมคือโรคหวาดกลัวอิสลาม (Islamophobia) มีชาวมุสลิม 1.3 พันล้านคนอยู่ในโลกมุสลิมโดยอาศัยอยู่ทั่วทุกทวีป อิสลาโมโฟเบียเติบโตขึ้นมาตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 และเป็นที่น่าตกใจ มันก่อให้เกิดรอยแยก

สตรีมุสลิมที่สวมหิญาบ กลายมาเป็นปัญหา ถูกมองว่าเป็นอาวุธ ในบางประเทศสตรีสามารถถอดเสื้อผ้าออกได้แต่ใส่เพิ่มไปไม่ได้ ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ที่เป็นดังนี้ก็เป็นเพราะว่าผู้นำจำนวนหนึ่งได้นำเอาอิสลามไปเคียงคู่กับลัทธิก่อการร้าย

อะไรคือความสุดโต่งอิสลาม (radical Islam) ในเมื่อมีอิสลามอยู่แค่หนึ่งเดียว นั่นคืออิสลามของท่านศาสดา (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)

ทำไมจึงมีอิสลาโมโฟเบีย คนอเมริกันโดยทั่วไปจะแยกแยะระหว่างมุสลิมสายกลาง และมุสลิมสุดโต่ง สิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับศาสนาของเราเลย

เราเผชิญกับอิสลาโมโฟเบียขณะเดินทางไปต่างประเทศ และในประเทศตะวันตกชุมชนมุสลิมถูกผลักออกไปเป็นคนนอก การกลายมาเป็นคนนอกก่อให้เกิดพื้นที่ที่จะนำไปสู่ความสุดโต่ง

สำหรับผม เราต้องรับมือกับสิ่งนี้ รับมือกับเหตุการณ์หลัง 9/11 อันเป็นสงครามต่อต้าน “อิสลามสุดโต่ง” (redical Islam) มากกว่าการพยายามที่จะอธิบายต่อตะวันตกว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอิสลามสุดโต่ง

ขอบข่ายของความสุดโต่งมีอยู่ในทุกๆ สังคม แต่พื้นฐานของทุกๆ ศาสนาก็คือ ความเห็นอกเห็นใจและความยุติธรรม

น่าเสียใจที่บรรดาผู้นำมุสลิมไม่สามารถอธิบายได้ ในฐานะโลกมุสลิมเราล้มเหลวที่จะอธิบายว่าไม่มีอะไรอย่างอิสลามสุดโต่ง ในปากีสถานเรามีสายตาดังพายุ และรัฐบาลของเราเป็นผู้คิดค้นคำว่า “ความเป็นสายกลางที่รู้แจ้ง”