คุยกับทูต ‘พ.อ.ราซา อุล ฮัซเนน’ หยุดการปิดกั้น ขอให้ชาวแคชเมียร์เป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง

จากคอลัมน์ “คุยกับทูต” ในสามฉบับที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทยได้กล่าวถึงสถานการณ์ความขัดแย้งกรณีข้อพิพาทแคชเมียร์ระหว่างอินเดียและปากีสถานในปัจจุบันไปแล้ว

วันนี้ พ.อ.ราซา อุล ฮัซเนน (Colonel Raza Ul Hasnain) ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารปากีสถานประจำประเทศไทย ได้ให้ข้อคิดเห็นในแง่มุมทางทหารเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวเพื่อความกระจ่างอีกทางหนึ่ง

“อินเดียไม่เพียงแต่ฝ่าฝืนมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเท่านั้น แต่ยังกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในดินแดนแคชเมียร์ส่วนที่อยู่ในการควบคุมของอินเดีย (IOK) โดยมีสงครามครั้งสำคัญเกิดขึ้นหลายครั้ง และการต่อสู้ระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศอีกนับครั้งไม่ถ้วน”

“เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ชายหนุ่มจากดินแดนแคชเมียร์ (IOK) ตัดสินใจก่อเหตุระเบิดพลีชีพเข้าโจมตีขบวนรถของทหารพรานอินเดียในแคชเมียร์ บิดาของมือก่อเหตุนี้ได้พูดชัดเจนว่า ลูกชายของเขาเลือกเดินเส้นทางนี้ เนื่องจากมีความเกลียดชังต่อกองกำลังอินเดียที่กดขี่ข่มเหงโหดร้ายต่อผู้บริสุทธิ์”

“อินเดียยังได้ละเมิดน่านฟ้าของปากีสถาน โดยเครื่องบินรบของกองทัพอากาศอินเดียทิ้งระเบิดในเขตพื้นที่ว่างเปล่าในปากีสถาน และเผยแพร่ข่าวอย่างรวดเร็วว่าเป็นการทำลายค่ายของผู้ก่อการร้ายในปากีสถาน ซึ่งในความเป็นจริง เครื่องบินรบของกองทัพอากาศอินเดียทิ้งระเบิดในทันทีหลังจากเครื่องบินของกองทัพอากาศปากีสถานขึ้นสกัดกั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อรัฐบาลปากีสถานตรวจสอบความเสียหายหลังจากนั้น พบว่าไม่มีการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของชาวปากีสถาน ยกเว้นเพียงต้นไม้ไม่กี่ต้น”

“กองทัพอากาศปากีสถานจึงเลือกปฏิบัติการในพื้นที่เปิดโล่งใกล้กับเป้าหมายทางทหารที่สำคัญของอินเดียในวันต่อมา เพียงเพื่อแสดงเจตจำนงและความสามารถของเราในการตอบโต้การรุกรานทุกรูปแบบ ซึ่งในวันเดียวกันนั้นเอง เรายิงเครื่องบินทหารของอินเดียตก 2 ลำ และจับตัวนักบินไว้ได้ 1 นาย”

โฆษกกองทัพปากีสถานแถลงว่า กองทัพอากาศปากีสถานได้ยิงเครื่องบินรบของกองทัพอากาศอินเดียตก 2 ลำ ในจำนวนนี้ 1 ลำถูกยิงตกในดินแดนแคชเมียร์ (POK) ส่วนอีก 1 ลำถูกยิงไปตกในดินแดนแคชเมียร์ (IOK)

โดยควบคุมตัวนักบินอินเดียที่ดีดตัวสละเครื่องได้ 1 นาย ทั้งยังได้นำภาพถ่ายอาวุธต่างๆ และเอกสารแสดงตัวที่ระบุว่าเป็นของนักบินอินเดียที่ถูกจับได้มาแสดงในการแถลงข่าว โดยย้ำว่าเราไม่ต้องการให้สถานการณ์บานปลายและไม่อยากทำสงครามกับอินเดีย

“ปากีสถานจึงเชิญนักการทูตและทูตทหารจากต่างประเทศยังสถานที่ที่เครื่องบินรบของอินเดียถูกยิงตกในเขตปากีสถาน เป็นการโต้แย้งอินเดียที่อ้างว่าเป็นการมาทำลายเป้าหมายค่ายผู้ก่อการร้ายในเขตแดนปากีสถาน และเพื่อเป็นการเปิดโอกาสในการสร้างสันติภาพและความปรองดองให้เกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีของเราจึงได้ปล่อยตัวนักบินอินเดียที่ถูกจับ”

“แต่การโฆษณาชวนเชื่อของอินเดียยังคงดำเนินต่อไป และในวันเดียวกันนั้นเอง หน่วยการป้องกันภัยทางอากาศของอินเดียก็ได้ยิงเฮลิคอปเตอร์และสูญเสียกำลังพลของพวกเขาเองด้วย”

กองทัพอากาศอินเดียแจ้งว่า เฮลิคอปเตอร์ของอินเดียถูกยิงตกลำหนึ่งโดยบังเอิญ ขณะที่เครื่องบินรบของทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากันกลางอากาศในเขตแคชเมียร์ (IOK) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่ง พล.อ.อ. Rakesh Kumar Singh Bhadauria ผู้บัญชาการกองทัพอากาศอินเดีย กล่าวว่า “เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่”

“อินเดียมักสร้างบรรทัดฐานในการประณามปากีสถาน เนื่องจากความล้มเหลวในการจัดการกับสถานการณ์ในดินแดนแคชเมียร์ (IOK) โดยไม่ทันได้มีการสอบสวนหรือพิสูจน์ให้เห็นถึงการสนับสนุนกิจกรรมของผู้ก่อการร้ายในอินเดีย พรรครัฐบาลอินเดียยังใช้วาทกรรมต่อต้านปากีสถานในช่วงของการหาเสียงก่อนการเลือกตั้งทุกครั้งในอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งทั่วไปหรือการเลือกตั้งระดับรัฐ ตามด้วยการโฆษณาชวนเชื่อของสื่อยักษ์ใหญ่ทั้งในอินเดียและต่างประเทศจำนวนมาก”

“คำแถลงเพื่อข่มขู่ปากีสถานของผู้นำกองทัพและนักการเมืองอินเดียจะไม่สามารถเป็นอุปสรรคขัดขวางประเทศปากีสถาน และความปรารถนาสันติภาพของปากีสถานก็ไม่ควรถูกมองว่าเป็นความอ่อนแอ ทั้งนี้เพราะเราไม่ต้องการทำสงคราม แต่ถ้าคิดจะทำสงครามกับเรา เราจะต่อสู้เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งเอกราชและความมั่นคงของชาติ กองทัพปากีสถานได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนักและพร้อมที่จะรับมือกับการรุกรานใดๆ ก็ตาม ดังที่ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราที่สามารถยิงเครื่องบินสองลำของกองทัพอากาศอินเดียตก ในขณะที่กองทัพอากาศของอินเดียมีขนาดใหญ่กว่ากองทัพอากาศของปากีสถานถึงหกเท่า”

พ.อ.ราซา อุล ฮัซเนน ชี้แจง

รายงานวิจัยจาก University of Colorado Boulder and Rutgers University ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science Advances ระบุว่าปัจจุบันอินเดียและปากีสถานครอบครองหัวรบนิวเคลียร์อยู่ฝ่ายละ 150 ลูก และคาดว่าจะเพิ่มเป็นกว่า 200 ลูกภายในปี ค.ศ.2025 ถึงแม้ว่าอินเดียและปากีสถานมีอาวุธนิวเคลียร์น้อยกว่ามหาอำนาจอื่นๆ ก็ยังเป็นภัยคุกคามต่อโลกได้มากมายถึงเพียงนี้

ส่วน พล.ต.อาซิฟ กาฟูร์ (Asif Ghafoor) โฆษกกองทัพปากีสถานได้ตอบโต้คำขู่ของอินเดียว่า

“เราไม่ต้องการเข้าสู่สงคราม แต่โปรดมั่นใจได้ว่า หากท่านเริ่มการรุกรานใดๆ ก่อน ท่านจะไม่มีทางทำให้เราประหลาดใจ ท่านจะไม่มีทางทำให้กองทัพปากีสถานประหลาดใจ แต่เรารับรองว่า เราจะทำให้ท่านประหลาดใจ หากท่านเริ่มต้น เราจะเป็นผู้ครองบันไดในขั้นที่สูงขึ้นและในอัตราส่วนกำลังที่เหนือกว่า ณ จุดที่สูงที่สุด โปรดอย่าได้คิดว่า ความมุ่งมั่นทุ่มเทของเราที่มีในหลายๆ เรื่องจะทำให้ความสามารถของเราลดน้อยถอยลง เพราะพวกเรามีแนวความคิดเดียวกันหมด จากนายกรัฐมนตรีถึงประชาชน จากผู้นำสามเหล่าทัพถึงทหารทุกนาย จากพรรคการเมืองทุกพรรคถึงทุกภาคส่วนของสังคม ชาวปากีสถาน 207 ล้านคน มีความคิดเดียวกัน ทั้งเจตนารมณ์และความมุ่งมั่น เรามีหนทางและวิธีการที่จะไปถึงจุดสิ้นสุดที่เราต้องการ เราสามารถตอบสนองต่อภัยคุกคาม เต็มรูปแบบ”

“เราหวังว่าท่านจะได้รับข่าวสารนี้ และไม่มายุ่งกับปากีสถานอีก”

“การยกเลิกมาตรา 370 โดยไม่มีการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ ภายใต้บริบทความตึงเครียดด้านความมั่นคงที่เสรีภาพและการสื่อสารพลเรือนถูกปิดกั้น ยิ่งเสี่ยงที่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง เสี่ยงต่อการเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากขึ้น ผู้คนกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอาหารและยา โรงเรียนและมหาวิทยาลัยถูกปิด ยิ่งกว่านั้นเด็กชายและเด็กหนุ่มประมาณ 8,000 คนถูกควบคุมตัวโดยกองกำลังของอินเดีย ในขณะที่อินเดียมีกำลังทหารเกือบ 900,000 นายในดินแดนแคชเมียร์ (IOK)”

“เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา กองทัพอินเดียยิงปืนใหญ่ข้ามพรมแดนมายังปากีสถานโดยอ้างว่าเพื่อโจมตีฐานที่ตั้งของผู้ก่อการร้าย ปากีสถานจึงเชิญนักการทูตต่างประเทศและนักการทูตอินเดียประจำปากีสถานมาสังเกตการณ์ยังสถานที่จริงดังกล่าว แต่ไม่มีการตอบสนองจากเอกอัครราชทูตอินเดีย อย่างไรก็ตาม นักการทูตเหล่านี้ก็สามารถเห็นได้ว่า คำกล่าวอ้างของผู้นำกองทัพอินเดียในการทำลายฐานที่ตั้งของกลุ่มผู้ก่อการร้ายในปากีสถานนั้นไม่มีมูลความจริง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มีการยิงปืนใหญ่ของอินเดียที่ตั้งเป้าโจมตีพลเรือนทางดินแดนแคชเมียร์ (POK)”

“ในขณะที่ปากีสถานพยายามใช้กลยุทธ์ด้วยความอดทน เริ่มจากวิธีทางการทูตดังที่นายกรัฐมนตรีของปากีสถานได้แจ้งให้ชุมชนโลกทราบอย่างชัดเจนถึงสถานการณ์อันตรายที่แท้จริงในแคชเมียร์ (IOK) ซึ่งการกระทำของอินเดียเป็นการตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว มิชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและมติสหประชาชาติ อีกทั้งยังละเมิดสนธิสัญญาเจนีวามาตรา 49 ว่าด้วยการห้ามขนย้ายประชากรของตนเองเข้าตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ยึดครอง มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงซึ่งอาจนำไปสู่ผลเสียหายร้ายแรงต่อภูมิภาคและสันติภาพของโลก เนื่องจากทั้งปากีสถานและอินเดียเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์”

ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ทิ้งท้ายว่า

“ปัญหาของแคชเมียร์เป็นข้อพิพาทที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขที่เก่าแก่ที่สุดในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ซึ่งจะต้องได้รับการแก้ไขหากมหาอำนาจโลกปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงผลหายนะที่อาจจะตามมา ถึงเวลาแล้วที่โลกจะต้องยุติการตามใจรัฐบาลอินเดียและเข้าแทรกแซง เพื่อหยุดยั้งไม่ให้อินเดียทวีความรุนแรงขึ้นจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปแล้ว โดยการแสดงบทบาทและยืนเคียงข้างผู้ที่ถูกกดขี่ในแคชเมียร์ (IOK)”