คลี่ปมฆ่าโหดคาปอร์เช่ หักธุรกิจมืด-สูญ 20 ล้าน เร่งล่า 2 มือปืนเผ่นซุกเขมร จ่อออกหมายจับผู้บงการ

ยังคงติดตามอย่างกระชั้นชิด สำหรับ 2 คนร้ายต่างชาติ ที่มาก่อเหตุอุกอาจในประเทศไทย

ด้วยการบุกยิงนักธุรกิจหนุ่มชาวอังกฤษ กลางเมืองพัทยา กลางวันแสกๆ

แล้วจึงหลบหนีออกนอกประเทศ ตามแผนที่วางไว้อย่างแยบยล

แต่กระนั้นก็ไม่สามารถตบตาเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยได้ง่ายๆ

เมื่อมีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิด จับภาพจักรยานยนต์ที่ใช้เป็นพาหนะก่อเหตุ

ก่อนสืบสวนไล่ไปเรื่อยๆ จนรู้ตัวคนร้าย

แถมรู้ถึงแรงจูงใจที่เกิดจากหักผลประโยชน์ธุรกิจสีเทา

และแม้จะอยู่ระหว่างการประสานประเทศเพื่อนบ้านจับกุมมือปืน การสืบสาวถึงผู้บงการ

ซึ่งไม่ยากเกินกว่าจะได้ตัว

ล่า 2 มือปืนหนีซุกเขมร

หลังเหตุการณ์อุกอาจ มือปืนจ่อยิง นายโทนี่ เคนเวย์ อายุ 39 ปี ชาวอังกฤษ ที่ขมับขวา เสียชีวิตคารถสปอร์ตปอร์เช่ คาเยน จีทีเอส สีแดง ขณะเดินออกมาจากฟิตเนส กลางเมืองพัทยา เมื่อช่วงสายของวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา

เจ้าหน้าที่ก็เร่งติดตามจากกล้องวงจรปิด ซึ่งก็พบว่า ผู้ต้องสงสัยเป็นชาย 2 คน ขี่จักรยานยนต์ฮอนด้า คลิก ทะเบียน 1 กฬ 7994 ชลบุรี ไว้ได้ และพบว่าหน้าตาออกแนวเป็นชาวต่างชาติ

จึงเริ่มแกะรอยจากจักรยานยนต์ที่เป็นพาหนะ จนพบจอดทิ้งไว้ใกล้ที่เกิดเหตุ ตรวจสอบพบเป็นรถเช่าจากเต็นท์แห่งหนึ่งในเมืองพัทยา

เมื่อตรวจสอบเอกสารเช่ารถ พบว่าผู้เช่าคือหนุ่มชาวอังกฤษ ชื่อ ไมลส์ ดิกเคน เทอร์เนอร์ ซึ่งเป็นคนขี่จักรยานยนต์ที่เห็นในวงจรปิด

จากนั้นจึงนำชื่อนี้ไปตรวจสอบตามโรงแรมต่างๆ ในพัทยา เพียงไม่นานก็พบแหล่งกบดาน เป็นห้องพักแห่งหนึ่ง แต่เมื่อเข้าตรวจสอบพบว่านายไมลส์ไม่อยู่ที่ห้อง โดยเก็บข้าวของเผ่นออกไปแล้ว จึงประสานไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศให้ช่วยสกัดจับ

ในที่สุดก็ได้ข้อมูลว่านายไมลส์เดินทางออกจากไทยไปยังประเทศกัมพูชา ผ่านด่าน ตม.คลองใหญ่ จ.ตราด เมื่อเวลา 15.04 น. ของวันที่ 24 มกราคม ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ ขณะที่ผู้ร่วมก่อเหตุซึ่งเป็นมือปืน พบว่าชื่อ นายอาเบล คาลเดย์รา โบนิโต ชาวแอฟริกาใต้ ที่ออกจากประเทศไทยผ่านจุดดังกล่าวในเวลาเดียวกัน

หมายความว่า หลังก่อเหตุทั้งคู่ก็เดินทางมาที่ด่าน ตม.คลองใหญ่ เพื่อหลบหนีทันที

เมื่อตรวจสอบข้อมูลจาก ตม. พบอีกว่าทั้งคู่เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อเวลา 06.50 น. วันที่ 19 มกราคม

แสดงให้เห็นถึงการเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบลายนิ้วมือแฝงของคนร้ายที่ติดอยู่กับปอร์เช่ผู้ตาย

อีกทั้งยังมีหัวกระสุน 1 นัด ที่คล้ายปืนพกออโตเมติก ที่ผลิตในรัสเซีย เพราะลักษณะกระสุนที่ส่วนหัวเรียวกว่าส่วนท้าย

ทั้งหมดจะเป็นหลักฐานมัดตัว

สำหรับการติดตามล่าตัว 2 มือปืน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานกับทางการกัมพูชา จนกระทั่งถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ยังพบว่าทั้งสองยังคงกบดานอยู่ในประเทศกัมพูชา ไม่ได้เดินทางหลบหนีไปประเทศที่ 3

พร้อมให้อัยการประสานเพื่อขอตัวมาดำเนินคดี ตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

ไม่ให้เห็นเมืองไทยเป็นสถานที่ก่ออาชญากรรมแล้วหลบหนีลอยนวลไปได้หน้าตาเฉย

จ่อหมายจับอีก 2-ผู้บงการ

ด้วยความเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ที่ปรึกษา (สบ10) รุดคุมคดีด้วยตัวเอง

ในที่สุดทีมสืบสวนก็ได้พยานสำคัญ ซึ่งก็คือ นายเลิศ ลายหมื่นไว อายุ 48 ปี คนขับรถตู้ ที่ทำหน้าที่ขับรถรับส่ง 2 คนร้าย

โดยนายเลิศเผยว่า นายไมลส์ และนายอาเบล เหมารถจากบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ให้มาส่งที่รีสอร์ต ใน อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา โดยบอกว่าจะเช่ารถตู้แบบเหมา 6 วัน วันละ 2,500 บาท

ระหว่างจอดรถรอ ก็จะให้เงินอีกวันละ 500 บาท เพื่อไม่ให้ไปรับงานที่ไหน

จนกระทั่งวันที่ 24 มกราคม เวลา 10.30 น. ทั้งคู่โทรศัพท์เรียกให้มารับไปส่งที่จุดผ่านแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างอยู่บนรถสังเกตเห็นนายไมลส์โกนหนวดโกนเคราออกหมด และยังขอสูบบุหรี่ในรถ เมื่อถึงที่หมายก็ให้ทิปอีก 5 พันบาท

ขณะที่ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ เผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งขออนุมัติหมายจับ และให้กองการต่างประเทศประสานทางการกัมพูชาให้ช่วยติดตามไล่ล่าคนร้าย ซึ่งคาดว่ายังกบดานอยู่ ทั้งนี้ จากการสอบสวนพบว่าทั้งคู่เคยเข้าออกประเทศไทยมาแล้ว 2 ครั้ง โดยประเด็นสังหารยังให้น้ำหนักเรื่องความขัดแย้งทางธุรกิจ

ทั้งนี้ ผลการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่ามาจากการขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กว่า 20 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ผู้ตายรู้จักนักธุรกิจชาวอังกฤษคนหนึ่ง และไปขอให้มาร่วมลงทุน แต่ผู้ตายกลับบ่ายเบี่ยง จนเกิดมีปากเสียง เจรจาหลายครั้งก็ไม่เป็นผล

ประกอบกับผู้ตายมีความสัมพันธ์กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งล่อลวงชาวต่างชาติแถบยุโรปมาร่วมลงทุน จนมีเหยื่อหลายรายสูญเสียเงินหลายล้านบาท

ทั้งนี้ จากการสืบสวนเริ่มคลี่คลายจนรู้ตัวว่ามีผู้บงการเป็นชาวต่างชาติอีก 2 คน ซึ่งตอนนี้ยังพำนักอยู่ในประเทศไทย

ใกล้จะออกหมายจับได้เร็วๆ นี้


ย้อนนาทียิงดับคาปอร์เช่

สําหรับเหตุการณ์ระทึกขวัญครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงสายวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา โดย พ.ต.ต.จีรศักดิ์ แอบแฝง ร้อยเวร สภ.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุชาวต่างชาติถูกยิง เหตุเกิดด้านหน้าสานิตย์ สปอร์ตคลับ

ที่เกิดเหตุพบรถสปอร์ตปอร์เช่ คาเยน จีทีเอส สีแดง ทะเบียน 4 กน 311 กทม. ภายในพบร่าง นายโทนี่ เคนเวย์ อายุ 39 ปี ชาวอังกฤษ ถูกยิงเข้าที่ขมับขวา 1 นัด หายใจรวยริน เจ้าหน้าที่เข้าปั๊มหัวใจช่วยชีวิต แต่ไม่สามารถยื้อไว้ได้ เสียชีวิตในเวลาต่อมา

จากการตรวจสอบยังพบปลอกกระสุนตกอยู่ 1 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

สอบสวนพยานที่เห็นเหตุการณ์ เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุคนร้ายเป็นชายลักษณะอ้วน สวมเสื้อยืดสีขาว มีแจ๊กเก็ตสีดำสวมทับ นุ่งกางเกงวอร์มสีดำ สวมหมวกแก๊ปปิดบังใบหน้า สวมรองเท้ากีฬา ยืนอยู่ที่ศาลาหน้าฟิตเนส

พอผู้ตายออกกำลังที่ฟิตเนสดังกล่าวเสร็จ ขณะเดินออกจากฟิตเนสขึ้นไปบนรถ คนร้ายเดินตามมาแล้วใช้มือเปิดประตูรถ แล้วชักอาวุธปืนออกมายิงใส่แบบเผาขน 1 นัด จากนั้นจึงวิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่มีคนขับติดเครื่องรออยู่ ขับหนีหายไป

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุและบริเวณโดยรอบ พบว่าคนร้ายเดินตามนายโทนี่มาจากด้านหลัง เมื่อนายโทนี่ขึ้นรถ แล้วปิดประตู คนร้ายก็ดึงประตูให้เปิดออกแล้วใช้ปืนยิง ก่อนขึ้นจักรยานยนต์ฮอนด้าคลิก สีขาว ทะเบียน 7992 ไม่ทราบหมวดตัวอักษรหนีไป

โดย นางสมพร เคนเวย์ อายุ 32 ปี ภรรยาผู้ตายให้การว่า สามีเปิดบริษัทรับเขียนเว็บไซต์ บริษัทตั้งอยู่ที่ย่านชายหาดจอมเทียน ปกติไม่มีเรื่องกับใคร แต่พักหลังไปมีความขัดแย้งทางธุรกิจกับอดีตหุ้นส่วนของบริษัท

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะฐานะทางการเงินของนายโทนี่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรู และรถซูเปอร์คาร์ราคาแพง ดูจะร่ำรวยกว่าแค่ทำธุรกิจเขียนเว็บไซต์ทั่วไป

และเมื่อตรวจสอบลึกลงไปก็พบว่า นายโทนี่มาอยู่ในประเทศไทยนานกว่า 7 ปีแล้ว แต่งงานกับนางสมพรเมื่อ 4 ปีก่อน ธุรกิจเบื้องหน้าคืองานด้านคอมพิวเตอร์

แต่เบื้องหลังเชื่อมโยงกับธุรกิจประเภทคอลเซ็นเตอร์ จนมีชื่ออยู่ในกลุ่มเป้าหมายจับตาดูของดีเอสไอ กระทรวงยุติธรรม

สุดท้ายแม้ยังไม่มีข้อมูลเชื่อมโยงไปถึง ก็ถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีฐานเข้ามาทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต

สุดท้ายความขัดแย้งทางธุรกิจสีเทา ก็กลายเป็นชนวนเหตุสั่งตาย