สไนเปอร์ ลำน้ำโขง เจื้อยแจ้วจาก “ลาว” ลอบสังหาร “ตู่-ป้อม”

เป็นข่าวตื่นเต้นระทึกขวัญ

แทรกเข้ามาระหว่างข่าวการจัดอันดับ “ความโปร่งใส” และรายงานบทวิเคราะห์ “การปฏิวัติ” ในไทย

กรณีจู่ๆ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม เปิดเผยข้อมูลด้วยตัวเองว่า กำลังตกเป็นเป้าคนในโลกโซเชียล “ขู่ฆ่า”

“ผมไม่รู้ว่าใครมาขู่ฆ่าผม ไปดูเอาเองในโลกโซเชียล ไม่รู้ฝ่ายไหนเหมือนกัน”

เท่านั้นไม่พอ ยังมีรายงานข่าวจากกองทัพบกสำทับตามมาว่า

ตรวจสอบพบคนโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียข่มขู่ลอบสังหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ด้วยเช่นกัน

“ผมไม่ได้ประมาทและท้าทายใคร เพราะคิดว่าผมทำแต่ความดี ใครไม่เห็นความดีของผม ก็ช่วยไม่ได้ ชะตาชีวิตทุกคนมีอยู่แล้ว แต่ผมเห็นแก่ชะตากรรมประเทศมากกว่าชีวิตผม” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

ทั้งยอมรับว่า ข่าวขู่ลอบสังหาร พล.อ.ประวิตรผ่านทางโซเชียลมีเดีย เป็นเรื่องจริง กำลังหาตัวคนทำอยู่ พุ่งเป้าไปที่ “พวกละเมิดสถาบันที่อยู่ในต่างประเทศ”

มีการวิเคราะห์แยกแยะว่า หากคนโพสต์ข้อความขู่ลอบสังหาร พล.อ.ประวิตร อยู่ในต่างประเทศ ก็น่าจะคนละส่วนกับคนโพสต์ข้อความขู่ลอบสังหาร พล.อ.ประยุทธ์

เพราะจากรายงานข่าวการตรวจสอบของกองทัพบก พบคนโพสต์ข่มขู่ พล.อ.ประยุทธ์ มีร้านอยู่ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งน่าจะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ

หากเป็นเช่นนั้น จึงเป็นพื้นที่คนละส่วนกับที่คนโพสต์ข้อความข่มขู่ พล.อ.ประวิตร พำนักอาศัยอยู่

ประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่มี “ลำน้ำโขง” กั้นกลาง

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว นั่นเอง

 

ทําไมถึงสรุปเหมารวมว่าเป็น สปป.ลาว

ทั้งที่รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม ซึ่งเป็นเป้าข่มขู่หมายสังหาร ก็ยังไม่รู้

ทั้งที่ข้อมูลจากระดับนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ก็ระบุแต่เพียงว่าเป็น “พวกละเมิดสถาบันที่อยู่ในต่างประเทศ” โดยไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเป็นประเทศใด

แต่ข้อมูลจาก พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กลับชัดเจนและเฉพาะเจาะจงอย่างยิ่งว่า จากการตรวจสอบพบกลุ่มโพสต์ข้อความดังกล่าว

เป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มหมิ่นสถาบันแล้วหลบหนีไปอาศัยในประเทศลาว

เป็นกลุ่มบุคคลเดียวกับกลุ่มจัดรายการวิทยุหมิ่นสถาบันผ่านโซเชี่ยลมีเดียในประเทศลาว

ทั้งหมดเป็นกลุ่มบุคคลที่มีรายชื่ออยู่แล้ว

พร้อมกันนี้ ยังสั่งการให้ตรวจสอบด้านข้อกฎหมายอาญา เกี่ยวกับการข่มขู่ทำร้ายบุคคลสำคัญว่า อาจฟ้องร้องได้อีกข้อหาหนึ่งหรือไม่

 

กล่าวโดยสรุปก็คือ กลุ่มบุคคลที่หลบหนีไปประเทศลาว นอกจากคดีหมิ่นสถาบันอันเป็นความผิดตามมาตรา 112 ยังมีแนวโน้มจะโดนข้อหาวางแผนลอบสังหารบุคคลสำคัญอีก 1 คดี

ถึงในโลกแห่งความเป็นจริง จะเกิดคำถามข้อสงสัย

ถ้าใครสักคนต้องการลอบสังหารบุคคลสำคัญของประเทศ ระดับนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี มีความจำเป็นขนาดไหนในการโพสต์ข้อความประกาศในโลกโซเชียล

นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง มองว่า การข่มขู่คุกคามผู้บริหารประเทศลักษณะนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีมาเป็นระยะ เช่นเดียวกับสหรัฐที่มีการข่มขู่ผู้นำทุกวัน

หน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือการจัดลำดับว่าเป็นภัยคุกคามระดับใด

“ล้อเล่น” หรือ “เรื่องจริง”

 

ความที่ “ไม่ใช่เรื่องใหม่” นี้ ได้รับการยืนยันจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อีกแรงหนึ่งว่า สมัยตนเองดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็เคยได้ยินกระแสข่าวการลอบทำร้ายผู้นำเช่นกัน

แต่ไม่เห็นด้วยกับการนำเอาโซเชียลมีเดียมาใช้เป็นข่าวลือ เพื่อให้เกิดความตื่นตระหนก

“คงไม่มีใครคิดทำร้ายกันจริงๆ วันนี้ฝ่ายความมั่นคงดูแลทุกตารางนิ้วในประเทศไทยอยู่แล้ว ฝ่ายความมั่นคง คงไม่ปล่อยให้เกิดขึ้น” อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงระบุ

เป็นการให้น้ำหนักโลกโซเชียล ใกล้เคียงกับการประเมินของ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการ คสช. ที่ด้านหนึ่งเชื่อว่าการขู่ฆ่า พล.อ.ประวิตร เป็นเรื่องจริง

อีกด้านหนึ่ง ที่เชื่อก็เพราะในโลกโซเชียลนั้น

ใครคิดอะไร ก็เขียนลงไปได้

 

ถูกจุดขึ้นโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตามด้วยเสียงขานรับจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อนขยายความในรายละเอียดโดย พล.อ.ทวีป เนตรนิยม

กระแสข่าว “ขู่ฆ่า” ผู้นำไทย ดำเนินมาถึงจุดที่มีการชี้นิ้วตรงไปยัง “พวกละเมิดสถาบัน” ซึ่งหลบหนีไปอาศัยในประเทศ “ลาว”

สาเหตุเพื่อต้องการตอบโต้ เนื่องจากในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ทางการไทยได้พยายามประสานกับทางการลาว เร่งรัดให้ส่งตัวกลุ่มคนละเมิดสถาบัน คนผิดในคดี 112 กลับมาดำเนินคดีในไทยให้ได้ หลังจากล้มเหลวมาตลอด

ทั้งหมดเป็นข้อมูลของรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงแต่เพียงฝ่ายเดียว

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ตั้งคำถามว่า เหตุใดรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ถึงออกมาพูดเรื่องความไม่มั่นคงเสียเอง แล้วประชาชน นักลงทุน นักท่องเที่ยวจะรู้สึกมั่นคงได้อย่างไร

ข้อสังเกตอีกอย่างคือ เป็นการพูดในขณะที่รัฐบาลกำลังเผชิญมรสุมรุมเร้าหลายด้าน

ไม่ว่าภาพลักษณ์ความโปร่งใสที่แย่ลง กรณีบทวิเคราะห์ของสื่อต่างประเทศว่า ไทยมีความเสี่ยงเป็นอันดับ 2 ของโลก ที่อาจเกิดการปฏิวัติอีกครั้งในปี 2560

ตลอดจนประเด็นต่อสัญญาศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์อีก 50 ปี

 

ส่วนทางด้านพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ต้องมันสมองระดับแกนนำ แค่ระดับ นายวัชระ เพชรทอง ก็ยังแสดงความเห็นฟันธงเรื่องนี้ว่า “ไม่น่ามีมูลความจริง”

การออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ อาจส่งผลทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงต่างประเทศไม่กล้ามาลงทุน เพราะแม้แต่รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม ยังถูกขู่ฆ่าได้ง่าย

หรือหากเป็นเรื่องจริง ก็ควรปกปิดเป็นความลับ

“อาสาเสียสละเข้ามาเพื่อบ้านเมือง ไม่ควรหวั่นไหวเรื่องในโลกโซเชียล แต่ควรเป็นหลักให้ประชาชน ว่ายุคนี้สังคมต้องปลอดภัย ปราศจากอิทธิพล อำนาจมืดใดๆ”

และด้วยเหตุผลประกอบว่า พล.อ.ประวิตร “พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์” เป็นผู้มากบารมี ได้รับความเชื่อถือจากพรรคการเมืองและกลุ่มการเมือง

“เรื่องขู่ฆ่า จึงน่าจะเป็นเรื่องโจ๊กทางการเมืองมากกว่า”

เป็นข้อสรุปอันเยือกเย็น ต่อชะตาชีวิต 2 พี่น้องแห่งบูรพาพยัคฆ์อย่างยิ่ง