การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ถ้าเลือกได้…อยากจะย้อนกลับไป 

“นี่ไหมค่ะ…”

“นี่ใหม่มาช่วยแฟนค้าขาย…”

เสียงของหล่อนยังสะท้อนก้องอยู่ในหูของฉัน หึ อยากจะแค่นเหยียดปากให้ เพียงตัวสะกดและออกเสียงก็แสดงการตลบตะแลงซึ่งหน้า

คนอื่นไม่ทันจับสังเกต แต่ฉันได้ยินถนัดถนี่ดี

ระหว่างสระไอไม้มลายกับสระไอไม้ม้วน ไหมและใหม่ ตัว ม.ม้าที่มีไม้เอกและไม่มี เท่านี้ก็พิสูจน์อีกหนว่า

คนชาติหมาก็ยังขี้จุ๊ขี้ล่าย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

แต่ฉัน…ฉันควรจะต้องสะทกสะท้อนใจอยู่อีกไหม ทั้งที่ทุกอย่างกระจ่างอยู่เต็มหูเต็มตา กระทั่งให้ย้อนไปถึงครั้งแรกที่พบหน้า ทุกสิ่งเคยบอกฉันเสมอมาว่า อัมพรเป็นคนแบบไหน

 

[“พี่นี่อัมพร เป็นคนทำงานเหมือนเธอ จะได้ให้เธอมาช่วยเขานี่ล่ะ อัมพร นี่พี่ จะมาอยู่เป็นเพื่อนกับเธอ”

“อ๋อ ค่ะ”

วันแรกในบ้านนายจ้างคนใหม่

หล่อนเหลียวมายิ้มให้ ฉันไม่ได้ยกมือไหว้ แต่ก็ยิ้มตอบตามมารยาท

“อัมพรนี่เขาก็คนเมืองเดียวกับเธอนะ” คุณจ่าบอก “แต่คงคนละบ้านกัน”

“อ้าว เหรอ” หล่อนเคยมีทีท่าดีใจ “เธออยู่บ้านไหน”

บอกไป

“ไม่เคยไป อยู่ไกลเวียงใช่ไหมล่ะ”

“อือ” ฉันพยักหน้า ซึ่งนายจ้างปรายตามาทันที

“ค่ะ” ฉันต้องรีบแก้ไขคำลงท้ายของตัวเอง…เรียนรู้ว่า จะต้องพูดจามีหางเสียงเสมอ ไม่ว่ากับใครก็ตาม

…แต่วันนั้น ยังจำความรู้สึกอยู่ว่า อดตงิดใจไม่ได้

เมื่อรู้ว่ามาจากพื้นที่เดียวกัน แทนที่จะพูดกันด้วยภาษาถิ่น หล่อนยังพูดคำไทกับฉัน อย่างไรก็ตาม การพูดภาษากลางคล่องแคล่ว ทำให้ดูเป็นคนรู้งานยิ่งขึ้น

จนถึงเวลาได้อยู่กันลำพัง การทำงานของฉันเริ่มต้นขึ้น

“เธอเอาผักแคบไปเด็ดที”

ประโยคแรกที่อัมพรออกคำสั่งกับฉัน ชัดเจนเต็มสองหูอีกคราว

“เด็ดหยั่งได” ฉันตั้งใจถามกลับไปเป็นภาษาถิ่น แต่หล่อนกลับขึ้นเสียงทันควัน

“ไม่ได้นะ กับฉันเธอก็ต้องพูดไท…ผักแคบเด็ดเอาแต่ยอดกับใบอ่อนมัน ไซร้หนวดทิ้งเหีย”

หึ นั่นไง ที่แท้ก็ใช่จะพูดคำกลางได้ดีจริง หล่อนยัง “อู้เคิบ อู้ปะแล้ด” อยู่ดี

ฉันแสร้งถามต่ออีก “ทำไมล่ะ เราอู้คำเมืองกันก็ได้นี่”

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวคุณจ่าได้ยิน เขาไม่อยากให้คุณเอกฟังแล้วจำติดไปพูด”

คุณเอก…เด็กชายตัวขาวๆ คนนั้น

 

“ใครเหรอคุณเอก” ฉันเคยถาม

“หลานคุณจ่านะซี เด็กผีบ้าผีบออะไรไม่รู้ ซนยังกะลิง…มีเธอมาช่วยเปลี่ยนกันหน่อยก็ดี ฉันนะเหนื่อยเหลือทน อยู่กับเด็กเปรตนี่สองคน ประสาทจะกินตาย”

“แล้วมีใครอยู่อีกบ้าง พ่อ-แม่คุณเอกเหรอ”

“ไม่มี้ เขาเป็นสาวเฒ่า เอาหลานมาเลี้ยง แต่พอไปราชการก็ต้องให้หลานอยู่กับกู…เอ๊ย ฉันนี่แหละ…เด็กอะไรไม่รู้ ซนยังกะยักษ์กะมาร ดีว่าไม่ใช่คนขี้ฟ้อง…อยู่กับคุณจ่าเรียบร้อยยังกะอะไรดี อยู่กับฉันนะ ด่าก็ใช่ว่าจะฟัง ต้องตีถึงจะพูดกันรู้เรื่อง”

“เธอตีเขาด้วยหรือ” ฉันเบิกตา

“ก็ต้องซัดบ้างล่ะ ไม่งั้นได้ใจตาย แต่ก็ต้องไม่ให้เป็นรอยนะ คุณจ่ารู้เข้าจะซวย”

“จะร้องให้ได้อะไรขึ้นมา หา!”

อัมพรแผดเสียงเข้าใส่ แต่ปากน้อยๆ ยังไม่หยุดส่งเสียง ยิ่งตะเบ็งร่ำไห้ออกมาอีก ใบหน้าขาวผ่องแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ มือหนึ่งถือขาตุ๊กตาตัวโปรด อีกมือพยายามยื้อยุดอัมพรไว้

“ไม่ให้ไป ไม่ให้ไป เอกจะกินข้าว”

“ข้าวก็ทำไว้ให้แล้ว!” อัมพรตะเบ็งเสียงกลับ ปัดมือเล็กออกไปจากชายเสื้อ เด็กชายไม่ยอม หล่อนก็กำเอาทั้งมือ กระชากเหวี่ยงออกให้พ้นตัว

“ไปอยู่ในบ้านกับพี่”

“คุณเอกไม่อยู่กับอีพี่!”

“คุณเอกเข้าไปอยู่ในบ้านกันเถอะ ให้อัมพรไปธุระ” ฉันพยายามใจเย็น เข้าไปโอบตัวเด็กชาย

แต่ก็เหมือนเคย เด็กตัวขาวงอข้อศอกทิ่มใส่ฉันเต็มแรง ถอยหนีไม่ทันจุกเข้าเต็มเปา ฉันก็ชักโกรธขึ้นมาบ้าง แต่คงน้อยกว่าความโกรธของอัมพรเสียแล้ว

“เข้าไปอยู่ในบ้านนะคุณเอก” หล่อนเสียงดัง “จะเข้าไม่เข้า!”

“ไม่เข้า! คุณเอกจะไปกับพร”

“ดื้อนักใช่มั้ย นี่แน่ะๆๆ”

ทันใด อัมพรฟาดมือใส่เด็กชาย ฟาดไม่ยั้ง เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้อง

“เธอทำอะไรน่ะอัมพร!”

ฉันถลาเข้าไป พยายามกันเอาหลานชายของนายจ้างออกมา แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ อัมพรผลักฉันออกแล้วไล่เด็กวนไปรอบๆ เด็กชายร้องไห้แผดเสียง…เป็นเสียงที่บีบคั้นหัวใจสิ้นดี…

 

“เกิดอะไรกันเหรอ!”

มีเด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งมาจากบ้านตรงกันข้าม

“ไม่มีอะไรค่ะ”

อัมพรรีบดึงเด็กชายมาไว้ข้างหลัง แต่เด็กหญิงคนนั้นยังพยายามชะโงกดู

“น้องเอก หนูร้องไห้ทำไม เป็นอะไรคะ”

อัมพรชักสีหน้าขึ้นมา แต่ดูจะไม่กล้าพูดอะไรมาก

“ตะกี้คุณเอกหกล้มค่ะ พรกำลังจะพาไปใส่ยา”

“หกล้มเหรอ ทำไมผักกาดได้ยินเหมือนคนไล่ทำอะไรกัน”

“พี่!” อัมพรเหลียวมาทางฉัน “พาคุณเอกเข้าไปในบ้าน ต้องอาบน้ำแล้วใส่ยาหน่อยละ ไม่งั้นเดี๋ยวจะไข้ขึ้นเอา”

เด็กชายยังสะอื้นอยู่

“น้องเอกเป็นอะไรคะ” เด็กหญิงชะโงกหน้าดูอีก อัมพรรีบดึงเด็กชายให้ซุกหลังขาตัวเอง

“ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ ซนมากก็ยังงี้แหละ วิ่งจนหกล้มก็ยังไม่เลิกเล่น จะจับตัวให้หยุดก็หนี ทำยังกะใครจะฆ่าจะแกง”

พูดแล้วก็แอบบิดเนื้อเด็กอีกครั้ง….]

 

ฉันควรจะรู้เช่นเห็นชาติคนอย่างอัมพรดี ความสับปะหลี้ตอแหลในตัวของหล่อน ใช่จะมีเพียงครั้งสองครั้ง

อย่างวันที่พี่โฟมาหา ตั้งหน้าตั้งตาจะขอเงินฉัน แต่ฉันไม่ให้

…พยายามจะไม่ให้ แต่สุดท้ายก็สูญเสียไปอยู่ดี

 

[“มึงอย่าคิดมากไปเลยอีพี่…พี่น้องกัน ให้กันแค่นี้ แล้วใช่มันจะเอาไปทางอื่น ก็เอาไปบำเรอตัวเอง”

“กูอุตส่าห์มาทำงาน หวังจะเก็บเงินเป็นก้อน”

“มึงจะเก็บเงินไปทำอะไร ก็ให้พ่อให้แม่ พี่สาวอ้ายบ่าวก็เป็นพระเจ้าตนหนึ่ง กูก็เหมือนกัน มีหลานมีน้อง บอกมันสำนึกบุญคุณไว้ บทกูจะให้ก็ให้นักหนา…ดูท่ามึงไม่รักพี่รักน้องเลยรึ ไม่เคยเห็นเล่าถึงใครให้ฟัง”

“ไม่รู้จะฟู่ไปทำไม…กูคิดจะทำบ้านสักหลัง”

อัมพร “เหิ่น” หรือหัวเราะเสียงแหลมออกมาทันที

“โธะโถ อีพี่ ตัวเท่านี้คิดจะทำบ้านเป็นหลัง ผัวก็ยังไม่เอา จะทำการใหญ่เชียวมึง แล้วพี่น้องช่วยกันหรือยังไง ทำบ้านใหม่ให้พ่อแม่รึ”

“เปล่า ทำบ้านของฉันเอง”

อัมพรเหิ่นอีก

“ผัวก็ยังไม่มีมึงจะรีบลงเรือนไปทำไม ทำอะไรขึดบ้านขึดเมือง…หาผัวรวยๆ สักคน ให้มันปลูกบ้านหลังคาลอนให้ไม่ดีกว่ารึ”

“กูไม่ได้อยากมีผัว อยากทำบ้านไว้อยู่เอง แล้วก็อยากจะเรียนต่อ”

“มึงมันทะเยอทะยาน” หล่อนพูดกับฉันอย่างนั้น เสียงเหิ่นยังเสียดแทงหู “พี่มึงคงห่วงเพราะอย่างนี้แหละ กูก็ว่า อยู่มาไม่เห็นซื้อกินนั่นกินนี่ มีสตางค์ก็งำไว้ กลางคืนก็เอาแต่อ่านหนังสือ กลางวันกูลักเห็นเขียนสมุดเป็นเล่มๆ มึงเขียนอะไร”

“เอ๊ะ! มาเห็นตอนไหน”

ฉันฉุกใจขึ้นบ้างทันที

“ตอนมึงคิดว่ากูหลับซิ “หล่อนยิ้ม “เอาเทียนมาต๋าม นอนเขียนอะไรเป็นชั่วโมงๆ กูขี้คร้านพูดเท่านั้น จดหมายรักจะส่งไปไหน ไม่เห็นฉีกเข้าซองสักที”

“มายุ่งอะไร! อย่ามาลักอ่านเชียวนะ!” ฉันขึ้นเสียงใส่

“โฮ้ย กูไม่อ่านให้เสียเวลาหรอก” หล่อนขึ้นเสียงกลับ “เรียนจบหกมาได้ก็ขี้อ่อนขี้แก่ กูจะอ่านตัวหนังสือมึงให้เจ็บหัวไปทำไม!”]

 

แล้วอีวอกอีชาติหมาคนไหนที่…

[“พรุ่งนี้มึงล้างส้วมหน่อยนะอีพี่ ตะกี้กูไปเข้ามา เหม็นจนจะอ้วก”

“ก็ใช้ด้วยกัน” ฉันอ้าปากแย้ง “ใช่ฉันขี้คนเดียว”

“เออ ก็ขี้ด้วยกัน แต่พรุ่งนี้เวรมึง บอกแค่นี้ก็ยังจะเถียงอีก”

“พูดกันดีๆ ก็ได้นะอัมพร ฉันเป็นขี้ข้าเธอแต่เมื่อไหร่ ก็มาเป็นลูกจ้างด้วยกัน”

“เออ คุณนักเขียน”

…คุณ-นัก-เขียน…ประโยคนั้นที่ทำให้ฉันรู้แน่แก่ใจทันที

“โอ้ย! อีพี่ มึงตีกูทำไม!”

“ทำไมล่ะ กูจะเขียน มึงจะทำไม” ฉันฟาดม้วนกระดาษใส่อัมพร “มึงแอบอ่านสมุดกูทำไม!”

“มึงเป็นบ้าไปแล้วอีพี่! เออ! กูลักอ่าน! แต่อ่านไปได้หน่อยเดียว มึงเขียนกลอนเก่งดีนี่”

“มึงว่าอะไรนะ”

“กูว่ามึงก็เขียนกลอนม่วนดี…แล้วมึงตีกูทำไม อีชาติหมา”

แล้วอัมพรก็ยกตีนถีบฉันจนล้มลง และเมื่อเพลี่ยงพล้ำเช่นนั้น หล่อนก็รีบถลันเข้ามา จะกระแทกตีนซ้ำอีก….]

 

ซํ้าแล้วซ้ำอีก ที่เกิดเป็นเรื่องราว หลายครั้งหลายคราว จนหลับตานึกหาครั้งใด ก็แจ่มชัดอยู่ในใจทุกสิ่งอัน

แต่เป็นหล่อนหรือเป็นฉัน ถึงที่สุดแล้ว โง่เง่าเป็นเต่าเป็นควาย ไม่เคยจะสำนึกในความโง่เขลาของตัวเอง ยังคงมองโลกอย่างบ้าบอดใบ้…ยังคงหวนกลับมาไว้ใจ เชื่อใจ เพื่อให้หล่อนทำยิ่งกว่าเอาตีนย่ำเกลือกใบหน้า

หลับตา…ขณะพี่ชุนนอนหลับสนิทอยู่ข้างกาย ตัวฉันหายใจติดขัดอยู่เพียงลำพัง ท่วมท้นในอกคือความเกลียดชัง เจ็บใจ แต่ก็นั่นแหละ กระแสไฟในชีพจรก็ยังแปลบปลาบวาบไหว ถ้าเลือกได้…ฉันอยากจะย้อนกลับไป แล้วฆ่าหล่อนทิ้งเสียในจุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งคงดีที่สุดสำหรับเราสอง