ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 พฤษภาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | Pop Teen |
เผยแพร่ |
3.เชื่อในข้อมูล ไม่ใช่ความรู้สึก
ปัจจัยแห่งความสำเร็จอย่างหนึ่งที่นักวิเคราะห์ฟันธงเหมือนกันคือนักเตะเลสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นเกรดธรรมดา แต่กลับเล่นได้อย่างสุดยอดและเข้าขากันมาก
นักเตะบางคนเป็นดาวรุ่ง บางคนเป็นสตาร์ของลีกเล็กๆ บางคนเป็นไม้ใกล้ฝั่ง บางคนพูดชื่อมายังไม่รู้จัก แต่พวกเขากลับระเบิดฟอร์มหักปากกาเซียน เช่น Demarai Gray, Riyad Mahrez, Shinji Okazaki, Robert Huth, N”Golo Kant?, Jamie Vardy
ฤดูกาลล่าสุดพวกเขาลงทุนกับการซื้อนักเตะไป 27.3 ล้านปอนด์ ถือเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบกับทีมขนาดย่อม แต่หากดูจากเหตุผลของผู้บริหารแล้วก็นับว่าน่าสนใจ
อัยยวัฒน์บอกถึงกลยุทธ์การซื้อตัวนักเตะกับมติชนทีวีว่า
“การซื้อนักเตะขึ้นกับนโยบายแต่ละสโมสร บางทีมอยากได้นักเตะดัง เก่ง ซื้อมาแล้วเล่นได้เลย แต่สำหรับผมการซื้อตัวเหมือนการลงทุน ต้องดูข้อมูลชัดมาก ว่าจะทำให้เล่นดีได้จริงไหม และเขามีช่องว่างให้เติบโตหรือพัฒนาหรือเปล่า ในการตัดสินใจผมใช้ข้อมูลมากกว่าความรู้สึก ถ้าผู้จัดการบอกว่าคนนี้เก่ง ผมจะให้เขาเอาตัวเลขมาดู”
นักเตะที่เป็นข่าวมากที่สุดคือ เจมี่ วาร์ดี้ สุดยอดกองหน้าที่เป็นตัวแปรสำคัญอย่างยิ่งในฤดูกาลนี้
แต่ตอนที่เลสเตอร์ ซิตี้ ตัดสินใจซื้อในปี 2012 นั้น วาร์ดี้เป็นเพียงกองหน้าจากนอกลีกที่ไม่มีใครรู้จัก และพวกเขาก็ซื้อมาด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติถึง 1 ล้านปอนด์
“ผมต้องเป็นเจ้าของทีมที่โง่ที่สุดในโลกแน่ๆ” อัยยวัฒน์กล่าวกับ a day
“ผมถาม Nigel Pearson (ผู้จัดการทีมขณะนั้น) และ Steve Walsh (แมวมองของทีม) อยู่สัปดาห์นึง เอาข้อมูลมานั่งอ่านมันก็โอเค แต่ว่ามันเสี่ยง ผมจะตอบสังคม ตอบแฟนบอลยังไงว่าทำไมซื้อนักเตะนอกลีกตั้ง 1 ล้านปอนด์ ผมก็เลยถามทั้งสองคนว่า ถ้าผมมีงบฯ ให้ 1 ล้านเพื่อไปซื้อนักเตะฤดูกาลหน้า คุณจะซื้อใคร เขาบอกว่าซื้อวาร์ดี้ ผมเลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นซื้อเลย”
และนั่นก็เป็นการซื้อตัวที่คุ้มค่าที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ เพราะตอนนี้วาร์ดี้กลายเป็นกองหน้าที่ฮ็อตที่สุดคนหนึ่งในยุโรป มีทีมยักษ์ใหญ่พร้อมจะทุ่มซื้อตัวมากมาย
จุดที่ทำให้พวกเขามั่นใจ และตัดสินใจทำในสิ่งที่ดูค้านสายตาคนทั่วไปก็เพราะพวกเขา “เชื่อในข้อมูล” นั่นเอง
4.เลือกหัวหน้าทีมให้ถูก
การเลือกหัวหน้าที่มาบริหารนั้นสำคัญมาก หลังจากที่เลสเตอร์ ซิตี้ ปลด Sven-G?ran Eriksson ผู้จัดการทีมที่ทำงานได้อย่างย่ำแย่ในปี 2010/2011 พวกเขาก็ดึงตัว Nigel Pearson ผู้จัดการทีมคนเก่าที่เคยพาทีมขึ้นชั้นมาเดอะแชมเปี้ยนชิพมาสู่ทีมอีกครั้ง
“ทันทีที่ปลด สเวน-โกรัน อิริกสัน ออกจากตำแหน่งตอนปี 2011 ช่วงนั้นทีมแกว่งมาก การตัดสินใจเลือกผู้จัดการทีมคนใหม่จึงยากมาก เพราะถ้าเปลี่ยนแล้วทีมยังไม่ดีขึ้นคราวนี้มีปัญหาแน่ๆ เพราะหลายคนเริ่มไม่แน่ใจกับเจ้าของแล้ว ดังนั้น คนที่เข้ามาจึงต้องมีเพาเวอร์ สามารถเปลี่ยนความคิดนักเตะและสตาฟฟ์ได้ สอง ต้องทำทีมที่มิกซ์ระหว่างตัวเก๋าและดาวรุ่งได้ จนกระทั่งมาเจอกับไนเจลที่มีแคแร็กเตอร์ตรงกับใจเราทุกอย่าง”
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ แม้ว่าเพียร์สันจะทำผลงานได้สุดยอด พาทีมขึ้นชั้นพรีเมียร์ ลีก ได้ และพาทีมหนีรอดตกชั้นได้ แต่เมื่อเขามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทางสโมสรก็พร้อมที่จะลงโทษ
ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเพียร์สันร่วมกับเพื่อนอีกสองรายถูกเผยแพร่คลิปฉาว ขณะกำลังมีเพศสัมพันธ์พร้อมเหยียดเพศหญิงในประเทศไทยเมื่อครั้งที่มาเยือนเมืองไทย ผลจากความฉาวในครั้งนั้นทำให้คนไทยไม่พอใจอย่างมาก คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรเองก็ยังออกมาประณามการกระทำในครั้งนี้จนเพียร์สันซึ่งเป็นพ่อแท้ๆ ต้องประกาศแยกทาง
และพวกเขาก็สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเรียก Claudio Ranieri ผู้จัดการทีมที่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนักมาคุมบังเหียน แต่ผลลัพธ์กลับเป็นตรงกันข้าม
รานิเอรี่ใช้จุดเด่นของตัวเองในเรื่องเกมรับสไตล์อิตาเลียนมาผสมผสานกับความสามารถนักเตะที่มีได้อย่างลงตัว แถมยังไม่สร้างความกดดันให้กับนักเตะด้วยการปล่อยให้มีเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ และสร้างขวัญกำลังใจให้พวกเขาวิ่งสู้ฟัดไม่มีเหนื่อย
นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ ผู้สื่อข่าวเนชั่นทีวีที่ปัจจุบันศึกษาต่ออยู่ที่อังกฤษ วิเคราะห์ถึงประเด็นนี้ว่า
“ผมคิดว่าคุณวิชัยให้ความสำคัญกับบุคลิกนอกสนามมาก รานิเอรี่เป็นสุภาพบุรุษมาก ไม่เคยแสดงอาการโกรธ ฉุนเฉียว หรือบ่นกรรมการ แม้ว่าจะตัดสินได้แย่แค่ไหน ความเป็นสุภาพบุรุษสำคัญมาก ทำให้สื่อรัก ไม่หมั่นไส้ ตรงนี้น่าจะเป็นตัวอย่างเรื่องการเลือกผู้นำได้ดีของคุณวิชัย”
สิ่งที่ตอกย้ำว่ารานิเอรี่เป็นจิ๊กซอว์ที่ถูกต้องก็คือ คำพูดของเขาก่อนได้แชมป์ที่ว่า
“In an era when money counts for everything, I think we give hope to everybody.”
“ในยุคที่เงินซื้อได้ทุกอย่าง ผมคิดว่าเรากำลังให้ความหวังกับทุกคน”
5.บริหารแบบ Thai Style
โดยปกติแล้วเจ้าของทีมฟุตบอลมักมีระยะห่างกับนักฟุตบอล พวกเขาจะไม่ค่อยลงมาใกล้ชิดกับนักเตะสักเท่าไรนัก แต่สำหรับอัยยวัฒน์ เขาให้ความสนิทสนมกับลูกทีมเป็นอย่างมาก เหมือนเป็นครอบครัว ชนิดที่ว่านักเตะบางคนสารภาพว่าไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในชีวิต
“ผมบริหารเหมือนเป็นครอบครัว ปกติแล้วเจ้าของจะไม่ค่อยลงมาเจอกับนักฟุตบอล ไม่ใส่ใจกับนักฟุตบอล มองเป็นโปรดักต์ เจอน้อยมาก แต่กับผมมองเป็นสตาฟฟ์ เล่นเพื่อครอบครัว เดินไปข้างหน้าด้วยกัน ลงมาใช้เวลาด้วยบ่อย อาทิตย์หนึ่งเจอ 2 ครั้ง สนิทกันเหมือนเพื่อน ตอนมาทัวร์เมืองไทยก็ไปเที่ยวกัน พอบรรยากาศสบายๆ รีแลกซ์ นักเตะเขาก็เปิดเผยความในใจ เล่าให้ฟังว่ารู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร พอมีนักเตะใหม่ๆ เข้ามาสู่ทีมก็จะเกิดเคมีตรงกัน คลิกกัน เขาเหมือนได้เพื่อนใหม่ ได้เล่นฟุตบอลกับเพื่อน”
การบริหารแบบใกล้ชิดมากนี้ทำให้ลูกน้องรู้สึกสบายใจ ไว้ใจ และมีแรงจูงใจที่อยากจะทำงานด้วย คล้ายกับที่ เนวิน ชิดชอบ ทำกับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จนประสบความสำเร็จมาแล้ว
“ผมบริหารเหมือนเพื่อน เล่นกันตลอด เพราะพ่อผมวางตัวเป็นบอสอยู่แล้ว ผมก็จะเป็นประเภทเอายังไงก็บอกนะ”
คำว่า “เอายังไงก็บอกนะ” เป็นถึงขั้นที่นักเตะเลสเตอร์เคยมาขอเครื่องบินส่วนตัวของบอส ซึ่งอัยยวัฒน์ก็บอกว่า ให้ชนะสัก 3 เกมติด แล้วจะขอให้ ทำให้นักเตะสู้ยิบตา ถวายหัวเตะ
หรืออีกกรณีที่บ่งบอกว่า อัยยวัฒน์ให้ความสำคัญกับนักเตะเหมือนเพื่อน คือตอนที่เขาพูดกับ เจมี่ วาร์ดี้ ตรงๆ
ช่วงนั้นวาร์ดี้เพิ่งถูกซื้อตัวมา จากนักเตะนอกลีกรายได้น้อย พอได้จับเงินมหาศาลก็ทำให้เขาใช้ชีวิตอย่างหลงแสงสีและลืมตัว วาร์ดี้เมาทุกวัน เมามาซ้อมเลยด้วยซ้ำ แทนที่อัยยวัฒน์จะสั่งลงโทษ เขากลับเดินไปหาและเตือนเหมือนเพื่อนสนิท
“ผมบอกเขาว่า คุณอยากจะจบชีวิตนักเตะแบบนี้ใช่ไหม จะอยู่แบบนี้ใช่ไหม เราจะปล่อยสัญญาจนจบแล้วคุณก็ไปจากทีมนะ อย่าคิดว่าจะได้โตขนาดนี้” เขาเผยความลับกับ a day
“เขาก็บอกว่า เขาไม่รู้จะทำตัวยังไง เพราะไม่เคยได้เงินขนาดนี้ ผมก็ถามว่าแล้วคุณฝันอะไร คุณอยากจะให้ชีวิตเป็นยังไง ผมลงทุนกับคุณ คุณต้องทำอะไรคืนหรือเปล่า หลังจากนั้นเขาก็เลิกกินเหล้าเลย ตั้งใจซ้อม เริ่มปรับตัว เข้าฟิตเนส ทำตัวใหม่หมดเลย แล้วมันก็ดีขึ้น
“พอวันต่อสัญญาใหม่ เขาเดินมาซึ้งๆ บอกผมว่า เขาไม่มีทางลืมสิ่งที่ผมลงทุนกับเขาเลย แล้วก็ขอบคุณมากที่ให้โอกาสกับชีวิตเขา เขาจะทำทุกอย่างให้ทีมประสบความสำเร็จ และจะทำทุกทางให้ติดทีมชาติอังกฤษ”
อัยยวัฒน์เรียกการบริหารแบบนี้ว่า “บริหารแบบไทยสไตล์”
น่าภูมิใจนะครับที่การบริหารแบบไทยสไตล์มีส่วนทำให้ จิ้งจอกสยาม ประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้