บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ/ เมื่อ ‘จีน’ ออกแถลงการณ์ เตือน ‘นักการเมืองไทย’ จุ้นฮ่องกง

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

เมื่อ ‘จีน’ ออกแถลงการณ์

เตือน ‘นักการเมืองไทย’ จุ้นฮ่องกง

 

แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับกรณีที่สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์เตือนนักการเมืองไทยบางคนให้ระมัดระวังพฤติกรรมที่มีท่าทีสนับสนุนม็อบฮ่องกงที่กำลังเรียกร้องประชาธิปไตยและแยกตัวออกจากจีน ที่ยืดเยื้อมากว่า 4 เดือน และเต็มไปด้วยความรุนแรงสุดขั้ว

ตอนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุว่า “กลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีนยังได้สมคบกับกลุ่มอิทธิพลภายนอก เผยแพร่ข่าวลือ บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อวัตถุประสงค์ที่มิอาจเปิดเผยของตน นักการเมืองประเทศไทยบางคนมีการติดต่อกับกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีนโดยมีท่าทีเชิงสนับสนุน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดอย่างร้ายแรงและไร้ความรับผิดชอบ ฝ่ายจีนหวังว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องสามารถรับรู้ข้อเท็จจริงของปัญหาฮ่องกง ใช้ความระมัดระวัง ทำในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมิตรภาพจีน-ไทย”

ข้อความเตือนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ชี้แจงสถานการณ์ในฮ่องกงของสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย อธิบายถึงสาเหตุที่รัฐบาลฮ่องกงต้องออกกฎห้ามผู้ชุมนุมสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเพราะผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง เผาและทำลายทรัพย์สินสาธารณะเสียหายจำนวนมาก ปิดกั้นจราจร ทำร้ายผู้คนไม่เลือกหน้าอย่างบ้าคลั่ง

เพราะถูกแทรกแซงจากกลุ่มอิทธิพลภายนอก และกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากจีน

 

แม้จีนจะไม่ระบุชื่อนักการเมืองไทยคนนั้น แต่สังคมจับตามองไปที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่บินไปร่วมเสวนาที่ฮ่องกงเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม และพบปะกับโจชัว หว่อง แกนนำการประท้วงที่ฮ่องกง ซึ่งโด่งดังมากตั้งแต่การประท้วง “ปฏิวัติร่ม” ในฮ่องกงเมื่อ 5 ปีที่แล้ว

วันต่อมา โจชัว หว่อง ได้โพสต์ภาพที่เขาถ่ายกับธนาธร พร้อมกับเขียนข้อความว่าได้สนทนาอะไรกับนายธนาธรบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วโจชัว หว่อง ก็บอกว่าธนาธรเป็นใคร มีแนวคิดอย่างไรในการตั้งพรรคการเมือง ถูกดำเนินคดีอะไรอยู่ในขณะนี้ ก่อนสรุปว่าพวกเขาทั้งสองมีแนวคิดตรงกัน นั่นคือต่อต้านเผด็จการ

ส่วนเนื้อหาที่นายธนาธรอภิปรายบนเวทีนั้น ตอนหนึ่งระบุว่า ฮ่องกงเป็นแรงบันดาลใจให้เขาตั้งพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งน่าจะหมายถึงการปฏิวัติร่มของฮ่องกงเมื่อ 5 ปีที่แล้วนำโดยโจชัว หว่อง

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนที่สถานทูตจีนในประเทศไทยจะออกแถลงการณ์ในวันที่ 10 ตุลาคม เตือนพฤติกรรมนักการเมืองไทย

 

สถานการณ์ในฮ่องกงเป็นเรื่องอ่อนไหวมากกว่าเดิมในปัจจุบัน โดยเฉพาะในห้วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนอยู่ในขั้นย่ำแย่สุด อันเริ่มจากสหรัฐเปิดสงครามการค้ากับจีน ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน โดยอ้างเหตุผลเรื่องลดขาดดุลการค้ากับจีนและข้อกล่าวหาว่าจีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญา

แต่ลึกๆ แล้วทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐยุคทรัมป์ดำเนินการกับจีนในขณะนี้มีเป้าหมายอยู่ที่การ “เตะสกัด” ไม่ให้จีนเติบโตรุ่งเรืองมากไปกว่านี้ จึงหาทางทำลายทุกด้าน เพราะจีนเริ่มจะแซงหน้าไปแล้วในบางเรื่อง เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) เทคโนโลยี 5 G หากไม่สกัดกั้น ก็เกรงว่าจีนจะกลายเป็นมหาอำนาจเบอร์ 1 ทางเศรษฐกิจแทนสหรัฐ

การประท้วงในฮ่องกงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นอิสระจากจีน ซึ่งทำให้ฮ่องกงเสียหายหนักเพราะผู้ประท้วงใช้ความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถูกมองว่ากลายเป็นประเด็นหนึ่งที่จะทำให้การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐมีความยุ่งยากและซับซ้อนมากขึ้นไปอีก เพราะเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ดูเหมือนสหรัฐนำเข้าไปผูกกับการเจรจาการค้าในทำนองกดดันจีนให้ยอมตามความต้องการของผู้ประท้วง

ในขณะที่ฝ่ายจีนได้ออกมาปรามและตำหนิสหรัฐไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกิจการภายในของจีน พร้อมกับแฉว่ามีองค์กรในสหรัฐหนุนหลังผู้ประท้วง เป็นเหตุให้การประท้วงรุนแรงและบานปลาย

 

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ การแสดงออกของแต่ละประเทศต่อกรณีของฮ่องกงจึงต้องระวังเป็นอย่างสูง เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้จีนไม่พอใจอย่างยิ่ง ประกอบกับเมื่อการประท้วงได้ยกระดับเป็นความรุนแรงป่าเถื่อน หากคนจากประเทศใดไปแสดงท่าทีเข้าข้างผู้ประท้วงหรือสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนก็อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นๆ และจีนเสียหายได้

เป็นที่ทราบกันดีว่าจีนคือประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก มีอำนาจซื้อมหาศาล และเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญยิ่งกับอธิปไตยของตัว จะไม่ยอมแม้ปลายก้อยให้ใครมายุ่มย่ามเรื่องการแยกดินแดนของจีนออกเป็นประเทศอิสระ เพราะนั่นเป็นเรื่องเสียหน้า ดังนั้น ใครทำให้จีนโกรธในประเด็นนี้ ก็รับรองได้ว่าเดือดร้อนแน่ๆ อย่างน้อยก็ขายของให้จีนไม่ได้

ประเด็นของธนาธรกับโจชัว หว่อง และฮ่องกง ที่นำมาสู่การตักเตือนของสถานทูตจีน อาจเกิดขึ้นเพราะธนาธรไม่ได้มองในหลายมิติ คิดแค่มุมของคนรุ่นใหม่ที่อยากเรียกร้องประชาธิปไตย

แต่อาจลืมคิดถึงผลกระทบที่จะตามมาในวงกว้าง หรืออาจเป็นเพราะขาดความรู้ด้านความสัมพันธ์ต่างประเทศที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนสูงมาก

จุดยืนของธนาธร แน่ละอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งก็คือการเทตัวเองไปยังขั้วอเมริกาและประเทศตะวันตกทั้งหมด แต่หากธนาธรอ่านและศึกษาแนวโน้มของโลก จะรู้ว่า “ศูนย์กลางของโลก” กำลังย้ายจากตะวันตกมาตะวันออกโดยมีจีนเป็นแกนนำ ต่อไปเอเชียจะเป็นศูนย์กลางการเติบโตของเศรษฐกิจโลกแทนตะวันตก

ในเมื่อโลกไม่ได้มีขั้วเดียวหรือศูนย์กลางเดียวอีกต่อไป การไปแทงพนันฝ่ายตะวันตกจนหมดหน้าตักเป็นความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งสำหรับประเทศ

 

มีคำกล่าวหนึ่งที่น่าสนใจ “คนตาบอดไม่กลัวเสือ” แปลตรงตัวก็คือ คนที่ตาบอด มองไม่เห็นเสือ จึงไม่กลัวเสือ ส่วนคนตาดีมองเห็นเสือ จึงกลัวเสือ ซึ่งในกรณีธนาธรนั้นไม่แน่ใจว่า ไม่กลัวเสือเพราะว่าตาบอด หรือตาดีมองเห็นเสือ แต่ไม่กลัวเพราะคิดว่าตัวเองเก่งกว่าเสือ

อันที่จริงวาทะลือลั่น “ตาบอดไม่กลัวเสือ” เกิดขึ้นในยุคทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และจะประกาศสงครามแก้ความยากจนด้วยการจดทะเบียนคนจน นายเสนาะ เทียนทอง อดีตประธานวิปพรรคไทยรักไทยในขณะนั้นทัดทานว่า “ทำไม่ได้นะ ไปประกาศเฉยๆ ไม่ได้ ไปเอาคนที่มีหนี้สิน แต่ไม่ใช่คนจนมาขึ้นทะเบียนไม่ได้ มันจะบานปลายกันใหญ่ พี่ไม่เห็นด้วย เพราะมองด้วยจิตสำนึกมันปฏิบัติไม่ได้ มันได้แต่ตัวเลขมาโชว์ตอนเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นมันไม่มีผลจริง”

ทักษิณตอบเสนาะว่า “โธ่…พี่เหนาะ คนตาบอดมันกลัวเสือเหรอ ถ้าเราไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ”

ทั้งหมดนี้เป็นคำยืนยันโดยตรงจากปากเสนาะ ผ่านการให้สัมภาษณ์สื่อและบันทึกไว้เป็นหนังสือ

คนตาบอดไม่กลัวเสือของทักษิณ ถูกตีความว่าหมายถึงทักษิณรู้ว่าคนยากจน คนมีหนี้นั้น หลอกให้ทำอะไรก็ทำ โดยไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมีพิษภัย