เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์ /คิดถึงพ่อ…อีกครั้ง

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

คิดถึงพ่อ…อีกครั้ง

 

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นเวลาครบ 3 ปีแล้วที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต

เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกินที่แผ่นดินไทยได้สูญเสียพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งไป วันแห่งความโศกสลดในวันนี้เมื่อ 3 ปีก่อนยังติดตรึงอยู่ในหัวใจของประชาชนชาวไทย

ยิ่งในช่วงที่ผ่านมา ภาพอดีตเหล่านั้นได้ถูกย้อนมานำเสนออีกครั้งผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะกับพื้นที่โซเชียลมีเดียที่ไม่มีความจำกัดในการนำเสนอ ภาพประกอบเพลงที่รำลึกถึงพระองค์ท่านหลายต่อหลายเพลงได้ถูกนำมาให้ชม ให้ได้รู้สึก

และชวนให้คิดถึงพระองค์ท่าน…อีกครั้ง

 

สิ่งหนึ่งที่หลายคนรู้สึกคือ พระองค์ท่านทรงงานหนักจริงๆ ถามว่าทำไม ก็เพื่อให้ประชาชนของพระองค์ได้อยู่ดีมีสุขมากขึ้น

พระองค์ท่านสอนพวกเราเสมอให้รู้จัก “หน้าที่” ใครมีหน้าที่ใดก็ขอให้ตั้งใจทำให้ดีที่สุด ถ้าเป็นคนขับรถเมล์ก็ต้องขับให้ปลอดภัยที่สุด ถ้าเป็นยาม ก็ต้องแข็งขันในการสอดส่องดูแล ไม่แอบงีบหลับ ถ้าเป็นสมณเพศ ก็ต้องทำหน้าที่รักษาแก่นของศาสนาและเผยแผ่ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ไม่ใช่มีหน้าที่ใบ้หวยหรือตีตัวเลข

ถ้ามีหน้าที่เป็น “รัฐบาล” ก็ต้องทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า ปราบปรามคอร์รัปชั่น อะไรที่เป็นภัยต่อประชาชนก็ต้องกำจัดออกไป อย่างสารเคมีที่เป็นพิษนั่น หรือแม้แต่คนแวดล้อมที่เป็นพิษก็ตาม…กำจัดไปซะ

หรือถ้าเป็น “ฝ่ายค้าน” ก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างมีสติปัญญา ใช้ความรู้ความสามารถที่มีคอยตรวจสอบรัฐบาลอย่าให้ออกนอกลู่นอกทาง อย่าค้านไปเรื่อยเพื่อสาง “แค้น” อะไรรัฐบาลทำดีก็ว่าดี อะไรไม่ชอบมาพากลก็ต้องบอกดังๆ ให้ได้ยิน

ใครเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องทำหน้าที่พ่อ-แม่ให้ดี

ใครเป็นลูกก็ต้องทำหน้าที่ของลูกที่เจริญแล้ว ไม่ใช่ลูกที่สร้างแต่ปัญหาให้พ่อให้แม่ และยิ่งร้ายถ้าไปทำร้ายสังคมเข้าด้วย

 

ในช่วงที่ว่านี้ ผมได้ฟังเพลงที่ประพันธ์ขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงพระองค์ที่เป็นเพลงดัง คุ้นหูชาวไทย และได้มีการนำมาใช้ขับร้องในโอกาสต่างๆ ก็หลายเพลง มีอยู่เพลงหนึ่งที่ขับร้องโดยธงไชย แมคอินไตย์ ชื่อเพลง “เหตุผลของพ่อ” แต่งคำร้อง/ทำนองโดย กมลศักดิ์ สุนทานนท์ และปิติ ลิ้มเจริญ มีเนื้อเพลงที่ขึ้นต้นว่า

“ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน

มีบางคนตะโกนบอกพ่อวันนั้น

ผ่านมาแล้ว สองหมื่นห้าพันกว่าวัน

นับจากวันนั้น ท่านไม่เคยทิ้งคนไทย”

ถ้าใครจำได้ นี่เป็นเหตุการณ์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว แต่ในปี 2489 พระองค์ต้องเสด็จฯ กลับไปศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บนรถพระที่นั่งที่กำลังจะพาพระองค์ท่านไปเสด็จขึ้นเครื่องบินเพื่อเหินฟ้าไปจากแผ่นดินสยาม ประชาชนที่มาส่งเสด็จคนหนึ่งได้ตะโกนขึ้นมาดังในเนื้อเพลง

ในบทพระราชนิพนธ์ที่ทรงประพันธ์ขึ้นในเวลาต่อมา ที่ชื่อ “เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์” ความตอนหนึ่งกล่าวว่า

“…วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว…พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้น แล้วก็ไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกต และพระภิกษุสงฆ์ ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์ พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง ๒๐๐ เมตร มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด! เมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง

รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ ว่า ‘อย่าละทิ้งประชาชน’ อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ ‘ทิ้ง’ ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะ ‘ละทิ้ง’ อย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว”

และพระองค์ท่านก็เสด็จกลับมาจริงๆ กลับมาดูแลประชาชนของพระองค์ให้มีความสุข เป็นเวลากว่าสองหมื่นห้าพันวัน หรือร่วม 70 ปี นั่นก็เพราะพระองค์ทรงตระหนักดีถึงหน้าที่ “พระมหากษัตริย์” ของพระองค์ที่มีต่อแผ่นดินไทย

“เสียงเล็กเล็กของประชาชน

สำหรับใครหลายคน คงไม่มีความหมาย

แต่ใครกันที่ได้ยิน แต่ใครกันที่เข้าใจ

คิดถึงพ่อทีไร ก็ตื้นตันใจทุกที”

 

น่าแปลกที่บุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างพระองค์ท่าน กลับมีพระเนตรพระกรรณในอันที่จะฟังเสียงของประชาชน แต่ไม่รู้ว่าทำไม คนธรรมดาที่ได้เป็นรัฐบาลในหลายรัฐบาลที่ผ่านๆ มา กลับไม่ค่อยยอมฟังเสียงของประชาชนเท่าที่ควร กลับไปฟังเสียงของนายทุน ของผู้มีอำนาจ หรือของสมัครพรรคพวกตัวเองมากกว่า

เราจึงมักได้เห็นการกระทำของรัฐบาลหลายครั้งที่ไม่เป็นธรรม และขัดต่อความรู้สึกของประชาชนเสียเหลือเกิน

“อยากรู้บ้างไหม ว่าทำไม

พ่อมีเหตุผลใด ที่ต้องเหนื่อยขนาดนี้

ลองถามหัวใจดูสักที แล้วเราจะรู้ดี

ว่าคำตอบคืออะไร

นอกจากคำคำนี้ ก็ไม่มีคำไหน

ในหลวงรักและห่วงประชาชน”

เป็นเหตุผลที่คนไทยตระหนักดี จากการทรงงานตลอดระยะเวลา 70 ปีของพระองค์ แม้ในบั้นปลายของพระชนม์ชีพที่ทรงประชวร พระองค์ก็ยังทรงงานมิได้ขาด นั่นก็เพราะ…. “ในหลวงรักและห่วงประชาชน” นั่นเอง

หากใครติดตามพระบรมราโชวาทและพระราชกรณียกิจของพระองค์แล้ว จะซึมซับดีว่าพระองค์ทรงปรารถนาให้คนไทยรู้จักช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด อย่าหวังพึ่งคนอื่น ให้รู้จักยืนอยู่ให้ได้บนขาของตนแม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงไร

หนึ่งในเครื่องมือที่แสนวิเศษที่ช่วยให้คนไทยทำอย่างนั้นได้ ก็คือหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่นักคิดจากทั่วโลกยกย่องถึงศาสตร์วิชาที่แท้จริงนี้

เป็นศาสตร์ที่พิสูจน์ได้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงวาทกรรมตามความเห็นของใครบางคน

 

แม้วันนี้เราจะไม่มี “พ่อ” อย่างพระองค์ท่านแล้ว แต่เราก็ยังคงทำ “หน้าที่” ของตนเองให้ถึงพร้อมได้ หน้าที่ของทุกบทบาทที่ตนเองมี

รวมทั้งหน้าที่ของ “พลเมืองไทย” และ “พลเมืองโลก” ใบนี้ด้วย

รู้สึกคิดถึง “พ่อ”…ขึ้นมาอีกครั้งแล้ว