เสียงในใจ บัวขาว บัญชาเมฆ “อยากให้รู้ว่านอกจากชกมวยแล้ว จะมีความสามารถขนาดไหน”

“ปฏิเสธไป 2-3 ครั้ง แต่แกก็ยังตื๊อ” บัวขาว บัญชาเมฆ เผยถึงเหตุที่มารับเล่นหนัง “ทองดีฟันขาว” งานของบริษัทสหมงคลฟิล์ม ที่ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เป็นผู้กำกับฯ

ใจแข็ง แม้บิณฑ์จะประกาศชัด ว่าเรื่องนี้ถ้าไม่ใช่บัวขาวเขาก็ไม่ทำ ซึ่งนั่น “บอกตรงๆ ผมก็ไม่เข้าใจ” เขาว่า

“ผมไม่อยากรับเล่น ผมไม่เอาแล้ว ผมจะชกมวย อย่ามายุ่งกับผม” คนเคยชิมลางงานแสดงมานิดๆ หน่อยๆ เล่าข้อความตัดบทที่บอกไปทุกครั้งเมื่อได้รับการติดต่อ ก่อนจะใจอ่อนในตอนโดนตื๊อรอบที่ 4 ว่าส่งบทและประวัติ “นายทองดี” มาให้เขาอ่านก่อน แล้วค่อยว่ากัน

นักมวยคนดังยังเผยด้วยว่า ความจริงก่อนหน้านี้มีคนติดต่อให้เขาแสดงอยู่บ่อยๆ ทั้งหนัง ทั้งละคร ซึ่งทุกๆ เรื่องล้วนแล้วแต่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธไปหมด ด้วยนอกจากเหตุผลที่ว่าไม่อยากเล่น อยากแต่จะชกมวยแล้ว ที่เพิ่มเติมคือ “ผมอยากมีอิสระ มีเวลาเป็นของตัวเอง”

“แต่พอได้คุยว่าเป็นหนังอะไร เรื่องราวยังไง ก็รู้สึกตื่นเต้นและสนใจมากขึ้น เพราะผมกับทองดีมีส่วนคล้ายๆ กัน ทั้งชีวิตส่วนตัว และความรักในเรื่องหมัดมวย”

ด้วย “ทองดี” หรือ “จ้อย” เป็นนักสู้ ที่มีเหตุให้ต้องจากครอบครัวตั้งแต่เล็ก สนใจในเชิงหมัดมวยเป็นอย่างมาก และได้เรียนรู้ฝึกฝนวิชาหมัดมวยจากครูตามเมืองต่างๆ กระทั่งได้มาเป็นทหารเอกของพระเจ้าตากสิน

ขณะที่เด็กบ้านนอกอย่างเขาก็สนใจการต่อยมวยตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นกัน

“ผมเป็นเด็กบ้านนอก เด็กชาวบ้านธรรมดา ก็ซุกซนไปเรื่อย แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง ได้ไปชมมวยที่เขาชกกันบนเวที ตอนนั้นอายุ 7-8 ขวบได้ ไปเจอเพื่อนรุ่นพี่ขึ้นชก มีคนเชียร์เขาเป็นร้อยๆ คน เราก็อยากไปอยู่บนนั้น อยากให้คนดูเรามั่ง เชียร์เรามั่ง ก็เลยกลับมาศึกษาด้วยตัวเอง ไปขอเพื่อนรุ่นพี่ซ้อม ไปเตะกระสอบปุ๋ยที่บ้านเขา”

ทำเช่นนี้ทุกวัน จนมีการจัดชกมวยในงานวัดวัดหนึ่ง เขาก็ไปสมัคร แล้วก็เป็นไปดังที่ฝัน เพราะวันที่ขึ้นชกทั้งหมู่บ้านขึ้นรถไปเชียร์ แถมชกครั้งแรกก็ได้รับชัยชนะ

“พอชนะก็ฮึกเหิม มีกำลังใจต่อสู้ จากนั้นมาก็เริ่มศึกษา เริ่มเรียนรู้อะไรมาเรื่อยๆ”

ดังนั้น ถ้าถาม ณ ตอนนี้ เขาจึงพูดเต็มปากเต็มคำว่า “ดีใจกับตัวเองที่ได้รับบทนี้ ภูมิใจมาก”

ด้วยนอกจากจะคล้ายชีวิตเขาดังว่า “อีกอย่างก็เป็นประวัติศาตร์ เป็นการต่อสู้เพื่อความถูกต้องอย่างแท้จริง”

“หนังจะทำให้เห็นชีวิตของนักสู้คนหนึ่งที่มีความเชื่อมั่น มุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากในสิ่งที่ตัวเองรักและหลงใหล จะได้เห็นการเรียนรู้ การฝึกฝน ที่ทำให้เรารู้ว่าถ้ามีความตั้งใจจริง มีความชนะใจตัวเอง มีความมุมานะ ไม่ว่ายังไงเราก็จะพยายามข้ามผ่านอุปสรรคเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายสูงสุดให้ได้”

ในส่วนของการแสดงนั้น บัวขาวบอกว่าแม้แคแร็กเตอร์ในเรื่องจะเข้ากับสไตล์เขา คือใช้การต่อสู้เป็นส่วนมาก และมีเรื่องแอ๊กติ้งกับบุคลิกหน้าตาส่วนเสริม หากความที่รู้สึกเกร็งและกังวล เนื่องจากเป็นคนลิ้นใหญ่ ทำให้พูดไม่ค่อยคล่อง แถมบทก็ยังเป็นแนวย้อนยุค ซึ่งต้องใช้ความจำเป็นพิเศษ การแสดงเรื่องนี้จึงไม่ง่าย

“ผมเคยผ่านกล้องทีวี กล้องถ่ายรูป โดนสัมภาษณ์อะไรต่ออะไรมาเยอะแยะ อาจจะชินตรงนั้น แต่ผมก็คิดว่ามันยังยากอยู่ดีในเรื่องของการแสดงที่จะต้องมายืนหน้ากล้อง ออกคำพูด หรือออกการแสดงต่างๆ”

ดังนั้น บางครั้งแม้บทจะกำหนดให้เป็นฉากที่ยืนคุยอยู่ใกล้ๆ กันธรรมดาๆ เขาก็กลับตะโกนใส่นักแสดงอีกคน ให้ต้องเทกเสียงั้น เจ้าตัวเล่าพลางหัวเราะ

ก่อนจะยืนยันว่า “แต่พอหลังๆ มาเรื่อยๆ เริ่มดีขึ้น จนผู้กำกับฯ บอกเอ็งไปทำอะไรมาถึงมีความคล่องตัว ทั้งทีมก็เห็นว่าดีขึ้นจากใหม่ๆ ดีขึ้นมาก จนทำให้มีความเป็นมือโปรมากขึ้น”

ความลับก็คือเขาแอบไปฝึกซ้อมๆๆๆ

“พอแสดงไปปุ๊บ เราก็มาขอดูในมอนิเตอร์ว่าที่เราเล่นไป ว่าการพูด สีหน้า การยิ้ม หรือขรึมอะไรต่างๆ น่าจะออกสไตล์ไหน ก็เริ่มศึกษาๆ พอกลับไปค่ายมวยก็ฝึกซ้อมบทและการแสดง ซึ่งตัวผมเป็นคนกล้าแสดงออกอยู่แล้ว มันก็เกิดเป็นผลดีกับเรา ก็สามารถปรับเปลี่ยนบุคลิก ทัศนะต่างๆ ทำให้เข้ากับตัวเรื่องได้ดีขึ้น”

บอกอีกว่า การแสดงต่างๆ ของเขาในเรื่องนี้ที่ปรากฏบนจอ ทุกสิ่งเล่นเอง ทำเองหมด ด้วยเหตุที่ “อยากให้รู้ว่านอกจากชกมวยแล้ว บัวขาวจะมีความสามารถแค่ไหน จะแสดงได้แค่ไหน ก็อยากให้ทุกคนมาดู”

“ทุกอย่างที่ทำก็อยากให้ออกมาดี อยากให้ทุกคนได้รับชมเห็นว่าเป็นมืออาชีพจริงๆ”