ธนาธร-โจชัว หว่อง (และความน่ากังวล) | มนัส สัตยารักษ์

เหตุจลาจลซึ่งยังความสูญเสียมหาศาลในฮ่องกงด้วยฝีมือของโจชัว หว่อง และเพื่อน ให้บทเรียนแก่คนจีนมากมาย มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะปิดเล่มและ “จบ” อย่างไร

คล้ายๆ กับเหตุจลาจลในเมืองไทย…14 ตุลา 16 กับ 6 ตุลา 19 ผ่านมา 46 และ 43 ปี ตามลำดับ แต่ละปีที่ผ่านไป เราจะเห็นภาพเหตุการณ์ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ บางปี “วีรบุรุษ” ถูกมองเป็น “ไอ้ตัวร้าย” ผ่านไปสักพักก็สลับกลับไปถูกมองว่าเป็นวีรบุรุษอย่างเดิม กลับไป-กลับมา

และหลายคนก็ถูกมองว่าเป็นทั้งวีรบุรุษและตัวร้ายในเวลาเดียวกันอีกด้วย

เหมือนกับความดีกับความเลว ถูกคลุกเคล้าด้วยสารพัด “สี” เสียจนแยกไม่ออก

ไม่ต้องดูอื่นไกล ตัวผมเองก็ตกอยู่ในสถานะดังกล่าวข้างต้นเช่นกัน จนกระทั่งต้องเจียมเนื้อเจียมตัวไม่กล้าเขียนถึง รวมทั้งไม่กล้าเฉียดกรายไปในงานรำลึกในวาระต่างๆ ทั้งที่ไม่มีใครสนใจ

ความเปลี่ยนแปลงทางความคิดไป-มาดังกล่าวข้างต้น บางครั้งก็ไม่ได้เกิดจากการถูกมองด้วยสายตาคนอื่นหรอก แต่อาจจะเกิดจากกาลเวลาหรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง หรือเกิดจากปัญญาที่เพิ่มขึ้นตามวัยและประสบการณ์ใหม่ของเราเองก็ได้

ตอนที่ผมยังหนุ่มผมเคยเขียนบทความเป็นเชิงเกลียดชังประเทศจีนแดงและประณามเหมาเจ๋อตุง จนได้รับคำทักท้วงจากเพื่อนร่วมรุ่น อนันต์ เสนาขันธ์ (พ.ต.ต.) ผู้เขียนและพิมพ์ “คอมฯ ที่รัก” แต่ผมไม่เชื่อและยืนกรานความคิดเดิม

และครั้งที่ผมพูดคุยเรื่องจีนคอมมิวนิสต์รังแกทิเบตและทะไลลามะ เพื่อนรักอีกคนที่เป็นนายตำรวจสันติบาล เตรียม ตันติเวชกุล (พล.ต.ต.) ก็ติงและพยายามชี้แจงข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่ง แต่ผมก็ยังยืนกรานความคิดเดิม

อันที่จริงผมน่าจะเชื่อหรือคล้อยตามเพื่อนทั้งสองคน เพราะทั้งคู่คลุกคลีอยู่กับเหตุการณ์บ้านเมืองและเหตุการณ์ของโลก ในขณะที่ผมเป็นแค่คนที่คิดแบบอาร์ติสต์หนุ่มเท่านั้น

การรู้จักเปลี่ยนแปลงทางความคิดเกิดขึ้นหลังจากได้เห็นภาพการพบและพูดคุยกันระหว่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทย กับประธานเหมาเจ๋อตุงของจีน ในเดือนกรกฎาคม ปี 2518 ได้เห็นภาพนายเติ้งเสี่ยวผิง รองนายกรัฐมนตรีของจีน เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ของเรา เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2521

และภาพที่น่ายินดีอีกหลายร้อยหลายพันภาพ… ล่าสุดเมื่อ 24 กันยายน ก็คือภาพประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ทูลเกล้าฯ ถวายอิสริยาภรณ์สูงสุด “รัฐมิตรภรณ์” แด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวาระการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนครบรอบ 70 ปี ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562

ภาพเหล่านี้ล้วนเป็นการบ่งบอกถึงความอันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน

แต่ภาพที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถ่ายรูปกอดคอกับนายโจชัว หว่อง หัวขบวนต่อต้านประเทศจีน พร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญาต่อกันว่า “จะต่อต้านอนุรักษนิยม (ซึ่งคงรวมทั้งวัฒนธรรมและวิถีชีวิต) และเผด็จการต่อไปในอนาคต”

ภาพของคนเชื้อชาติจีนทั้งสอง ทำให้ผมซึ่งมีเชื้อจีนและเลิกเกลียดชังจีนมานานแล้วอดที่จะรู้สึกกังวลไม่ได้


โจชัว หว่อง แห่งฮ่องกงวันนี้ ถูกมองว่าเป็นวีรบุรุษของคนส่วนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ถูกมองว่าเป็นไอ้ตัวร้ายของคนอีกส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะคนจีนในแผ่นดินใหญ่และคนเชื้อสายจีนทั่วโลกที่รักและภูมิใจในสายเลือดของตน รวมทั้งคนจีนที่เกลียดชังอเมริกาและประเทศตะวันตก

คนทั่วโลกอาจจะคิดว่าจีน (ภายใต้การนำของสีจิ้นผิง) ช่าง “ใจเย็น” ผิดไปจากอดีตทีผ่านมา แต่ผมคิดว่าจีนยุคใหม่ “เลือดเย็น” มากกว่าใจเย็น จีนในวันนี้รออย่างเลือดเย็นเพื่อให้ฮ่องกงพบกับกลียุคด้วยตัวเองจนกระทั่งพ้นสถาพ “หนึ่งประเทศสองระบบ” กลับไปเป็น “หนึ่งประเทศหนึ่งระบบ” ด้วยตัวของตัวเองในที่สุด

ตัวอย่างของความเลือดเย็นมองเห็นได้จากการตัดสินใจที่เฉียบขาดในสงครามการค้าระหว่างประเทศของเขากับอเมริกา

ครั้งล่าสุดจีนสั่งแบนรายการถ่ายทอดสด “การแข่งขันบาสเกตบอล NBA” ในจีน!!

สาเหตุสืบเนื่องมาจากผู้จัดการทีมบาส “ฮุสตัน ร็อกเก็ตส์” ได้ทวีตข้อความสนับสนุนการประท้วงของโจชัว หว่อง ในฮ่องกง การสั่งแบนรายการได้รับการประเมินว่าจะทำให้ธุรกิจจากการถ่ายทอดสดเสียหายหลายพันล้านเหรียญหรือเกือบแสนล้านบาท

คงจำกันได้ว่า ทีม “ฮุสตัน ร็อกเก็ตส์” เป็นทีมที่ “เหยาหมิง” นักบาสร่างยักษ์ชาวจีนเคยเป็นฮีโร่ประจำทีม จึงมีแฟนคลับทั่วประเทศ นับเป็นความสุขอย่างหนึ่งของคนจีน ที่รักกีฬาบาสเกตบอลมาแต่ไหนแต่ไร แต่ผู้นำจีนก็ไม่แคร์กับประโยชน์เหล่านี้เลย

ผู้นำจีนตัดสินใจเฉียบขาด… “นายสนับสนุนโจชัว หว่อง ประท้วงฮ่องกงหรือ?…งั้นก็แบนรายการถ่ายทอดสดของนายเสียเลย!”

ผมมีเหตุผลส่วนตัวที่รู้สึกกังวลกับภาพและคำสัญญิงสัญญาระหว่างธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับโจชัว หว่อง เพราะดูภาพและฟังน้ำเสียงของเขาทั้งสองแล้ว มัน บอกความกระเหี้ยนกระหือรือ และย่ามใจที่จะได้ร่วมมือกันต่อต้านอนุรักษนิยม หรือวัฒนธรรมเก่า หรือเผด็จการ เลยเถิดไปจนถึงความเท่าเทียมกันทางเพศ ฯลฯ

พวกเขารู้สึกพอใจที่ได้ถ่ายภาพร่วมกันที่เกาะฮ่องกง ในระหว่างที่ได้มาร่วมงาน Open Future Forum ที่จัดขึ้นโดยนิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ พวกเขาคิดว่าเป็นการได้ท้าทายหรือเยาะเย้ยมหาอำนาจจีน!

ความกังวลส่วนตัวของผมแบ่งออกได้เป็น 2 ประการ

ประการแรก จีนซึ่งเคยพอใจไทยที่กักตัวโจชัว หว่อง ไว้ที่สนามบิน แล้วส่งกลับฮ่องกงโดยไม่ยินยอมให้เข้าประเทศไปกล่าวปราศรัยและสังสรรค์กับเยาวชนไทย ผมกังวลว่าผู้นำจีนจะเปลี่ยนมาไม่พอใจไทยทำนองเดียวกับไม่พอใจผู้จัดการทีม “ฮุสตัน ร็อกเก็ตส์” ซึ่งจะทำให้สัมพันธภาพอันดีระหว่างไทย-จีนเสื่อมทรามลงทันที

ข้อกังวลอีกประการหนึ่งก็คือ กังวลว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอ้างพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจของธนาธร เพื่ออยู่ยาวต่อไปโดยไม่มีกำหนด เช่นเดียวกับที่อ้างความไม่น่าไว้วางใจของระบบทักษิณ ชินวัตร แล้วยึดครองประเทศไว้ได้ถึง 5 ปี