ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 ตุลาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | หลังลับแลมีอรุณรุ่ง |
ผู้เขียน | ธงทอง จันทรางศุ |
เผยแพร่ |
เพิ่งเข้าพรรษาไปหยกๆ เผลอเพียงครู่เดียววันออกพรรษาก็มาถึงตัวเข้าแล้ว
จากนี้ไปจนถึงวันลอยกระทงคือวันเพ็ญเดือน 12 เป็นเทศกาลงานบุญประจำปีสำคัญของคนไทย
คือการทำบุญทอดกฐิน ซึ่งเป็นการทำตามพระวินัยบัญญัติที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว
เมื่อออกพรรษาแล้วพุทธศาสนิกชนย่อมน้อมนำผ้ากฐิน คือไตรจีวรหนึ่งไตร ไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ ที่จำพรรษาถ้วนสามเดือนตามวัดวาอารามต่างๆ
พระภิกษุทั้งหลายก็จะประชุมกันแล้วลงมติมอบให้พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเป็นผู้ได้ครองผ้ากฐินนั้น
สำหรับชาวบ้านทั่วไป เราถือกันมาตั้งแต่โบราณกาลแล้วว่า การทำบุญทอดกฐินนี้เป็นบุญสำคัญ
เพราะทำได้เฉพาะช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้เท่านั้น
แถมวัดแต่ละวัดก็รับผ้ากฐินได้เพียงครั้งเดียว
จึงเห็นว่าการทำบุญทอดกฐินเป็นงานบุญพิเศษ
ผู้ที่เป็นเจ้าภาพก็ดี ผู้ที่ร่วมทำบุญก็ดี ย่อมมีความชื่นอกชื่นใจมากกว่าการทำบุญทั่วไป
พูดถึงเรื่องวัดในเมืองไทยของเรา ตามข้อมูลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแจ้งว่าเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำนวน 41,310 วัด
เป็นวัดราษฎร์ประมาณ 41,000 วัด
เป็นพระอารามหลวงอีก 310 วัด
วัดราษฎร์นั้นคือวัดที่พี่น้องประชาชนทั้งหลายมีจิตศรัทธาสร้างขึ้น ทั้งเก่าทั้งใหม่นับรวมจนถึงปัจจุบันก็ได้สี่หมื่นกว่าวัด
ส่วนพระอารามหลวงนั้นคือวัดที่พระมหากษัตริย์หรือเจ้านายทรงสร้างขึ้น หรือข้าราชการผู้ใหญ่สมัยก่อนสร้างขึ้นถวายเป็นพระราชกุศล
และอีกอย่างหนึ่งคือวัดที่เป็นวัดราษฎร์มาแต่เดิมแล้วมีประชาชนนับถือเลื่อมใสจนเป็นปึกแผ่นสำคัญ
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ยกฐานะจากวัดราษฎร์ขึ้นเป็นวัดพระอารามหลวง
พระอารามหลวงที่เป็นวัดราษฎร์มาแต่ก่อน แล้วยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในภายหลัง นิยมที่จะนำคำว่าพระอารามหลวงไปต่อท้ายชื่อวัดที่มีมาแต่เดิม
เช่น วัดบัวขวัญ พระอารามหลวง วัดหัวลำโพง พระอารามหลวง หรือวัดธาตุทอง พระอารามหลวง
ส่วนวัดที่เป็นพระอารามหลวงมาแต่แรกสร้าง เป็นธรรมเนียมนิยมที่ไม่ต้องต่อท้ายชื่อแสดงความเป็นพระอารามหลวง เห็นจะเป็นเพราะฟังดูชื่อก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นพระอารามหลวงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ลองนึกดูก็แล้วกันครับว่า ถ้าเราเกิดจะเรียกว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระอารามหลวง”
ฟังดูก็จะแปร่งหูอย่างไรไม่รู้
วัดราษฎร์ที่มีจำนวน 40,000 กว่าวัดนั้น ผู้ใดคณะใดประสงค์จะเป็นเจ้าภาพทอดกฐินในแต่ละปีก็ไปติดต่อโดยตรงกันกับเจ้าอธิการของวัดนั้น
ถ้าไม่มีใครไปแจ้งความจำนงไว้ก่อน ทุกอย่างก็คงจะสำเร็จเรียบร้อยตามเจตนา
แต่สำหรับวัดที่เป็นพระอารามหลวงนั้น มีกติกากำหนดว่า พระอารามหลวงทุกวัดจะได้รับผ้าพระกฐินของหลวง
แต่แน่นอนว่า เมื่อพระอารามหลวงมีกำหนดตั้ง 300 กว่าวัด แถมกำหนดเวลาที่ทอดกฐินก็ยังกำหนดไว้เพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ธรรมเนียมปฏิบัติจึงมีว่า พระมหากษัตริย์จะได้ทรงสงวนวัดพระอารามหลวงจำนวนหนึ่งไว้สำหรับเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินด้วยพระองค์เอง
หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เจ้านายหรือท่านผู้ใดแทนพระองค์ไปถวายผ้าพระกฐิน
เราเรียกวัดเช่นนี้ว่าเป็นวัดที่รับพระกฐินหลวง
ส่วนพระอารามหลวงนอกจำนวนดังกล่าว พระมหากษัตริย์พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้บุคคล คณะบุคคลหรือองค์กรใดก็ตาม เชิญผ้ากฐินพระราชทานไปทอดถวายในวัดต่างๆ เหล่านั้นได้
โดยติดต่อขอรับพระบรมราชานุญาตที่กรมการศาสนา
และในทางปฏิบัติก็สมควรต้องเลียบเคียงสอบถามกับเจ้าอาวาสของพระอารามหลวงนั้นๆ ด้วยว่า ปีนี้มีเจ้าภาพขอรับกฐินพระราชทานแล้วหรือยัง
ถ้าประสานคู่ขนานกันไปอย่างนี้ทุกอย่างก็น่าจะเรียบร้อยครับ
วัดที่ทรงสงวนไว้สำหรับพระกฐินหลวงมีจำนวนไม่ถึงยี่สิบวัด
ส่วนมากก็เป็นวัดที่เราคุ้นชื่อกันอยู่แล้ว ได้แก่ วัดพระเชตุพนฯ วัดบวรนิเวศฯ วัดราชบพิธฯ วัดมหาธาตุฯ วัดสุทัศน์ วัดอรุณฯ วัดเบญจมบพิตรฯ วัดราชประดิษฐ์ วัดราชโอรส วัดราชาธิวาส วัดมกุฏกษัตริย์ วัดเทพศิรินทร์
วัดที่อยู่ต่างจังหวัดก็มีนะครับ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีสองวัด คือ วัดสุวรรณดาราราม กับวัดนิเวศธรรมประวัติ
ที่จังหวัดนครปฐมก็มีวัดพระปฐมเจดีย์
และจังหวัดพิษณุโลกก็ได้แก่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าวัดหลวงพ่อ เพราะเป็นวัดที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช
สำหรับปีนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กำหนดวัดโสมนัสวิหารและวัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี อยู่ในบัญชีรับพระกฐินหลวงเพิ่มเติมขึ้นด้วย
การได้โดยเสด็จพระราชกุศลในการถวายผ้าพระกฐินหลวงก็ดี การถวายผ้าพระกฐินพระราชทานก็ดี คนไทยเราถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นสิริมงคล และเป็นพระมหากรุณาที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เราได้ทำบุญโดยเสด็จพระราชกุศลกับพระองค์ท่าน
ด้วยความเป็นมาและความคิดอย่างนี้ การเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระองค์เอง หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านพระองค์ใด ผู้ใดแทนพระองค์ไปถวายผ้าพระกฐินก็ดี
จึงเห็นกันว่าเป็นการพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่พระอารามนั้นๆ โดยตรง
เพราะเป็นโอกาสที่จะชักจูงโน้มน้าวให้มีผู้มาทำบุญกับวัดแห่งนั้นโดยเสด็จพระเจ้าแผ่นดิน วัดก็ดีใจ คนก็ชื่นใจครับ
นอกจากนั้น ผมยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า กรณีพระกฐินหลวงตามแบบธรรมเนียมเช่นนี้ ยังเป็นอุบายอันแยบคายที่ทำให้ผู้เกี่ยวข้องต้องช่วยกันดูแลความสะอาดและความมั่นคงเรียบร้อยของอาคารสถานที่ในพระอาราม ให้งดงามสมกับโอกาสพิเศษ จะปล่อยให้ชำรุดหักพังรกร้างคาตาอยู่ได้อย่างไร
ในสมัยรัชกาลที่สี่ เวลาพระองค์ท่านเสด็จฯ ไปตามวัดต่างๆ ผู้เกี่ยวข้องต้องดูแลแม้กระทั่งตุ๊กแกที่เกาะอยู่ตามฝาผนัง อย่าให้มีตกค้างจนถึงเวลาเสด็จฯ ได้
ผู้ใหญ่แต่ก่อนท่านดูละเอียดจนถึงขนาดนั้น
แม้กฐินพระราชทานที่บุคคลหรือกระทรวงทบวงกรม หรือหน่วยงานรับพระราชทานไป ก็เกิดผลทำนองเดียวกัน คือเป็นเครื่องชักจูงให้คนโดยเสด็จพระราชกุศลมาบำรุงวัด และเป็นโอกาสที่จะได้สอดส่องดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในพระอาราม อย่างน้อยก็ปีละหนึ่งหนครับ
ว่าไปทำไมมี เรื่อยไปจนถึงกฐินตามวัดราษฎร์ทั้งหลาย ผมก็อยากชักชวนให้ทำอย่างเดียวกัน
คือนอกจากถวายผ้ากฐินและถวายปัจจัยบำรุงวัดแล้ว ถ้าชาวเราจะช่วยกันปัดกวาดแผ้วถางซ่อมบำรุงวัดแต่ละวัด ให้สะอาดสะอ้าน เป็นที่เจริญศรัทธา ก็เห็นจะดีไม่น้อย
วัดของเรา เราก็ต้องดูแลนะครับ
ช่วยกันสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับงานบุญกฐินหน่อยดีไหมครับ