ผ่าคดี! ลุงวิศวะ หลังศาลอุทธรณ์ตัดสินยืน คุก10ปี ยิงโจ๋ พกปืน-สมัครใจวิวาท ย้ำชัดไม่ใช่ป้องกันตัว

คุก10ปีลุงวิศวะยิงโจ๋ – เดินมาจนถึงชั้นศาลอุทธรณ์ สำหรับกรณีลุงวิศวะหัวร้อน ที่ก่อเหตุยิงหนุ่มม.4 วัย 17 ปีเสียชีวิต เหตุเกิดที่อ่างศิลา จ.ชลบุรี เมื่อปี 2560

เหตุเพราะทะเลาะขัดแย้งกันเรื่องที่จอดรถ ระหว่างแวะซื้อของฝากหลังพาครอบครัวมาเที่ยวที่หาดบางแสน

ซึ่งคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกลุงวิศวะ เป็นเวลา 10 ปี

โดยให้เหตุผลว่าการที่ลุงวิศวะพกปืนไว้ในรถ แล้วเตรียมที่จะใช้นั้นเป็นการกระทำที่สมัครใจวิวาท

รวมทั้งพฤติกรรมต่อเนื่อง ตั้งแต่มีปากเสียง ขับรถไล่กัน จนกระทั่งเกิดเหตุ

ไม่ใช่การป้องกันตัวตามที่กล่าวอ้าง

เมื่อมาถึงชั้นศาลอุทธรณ์ก็เช่นกันยังคงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

เหลือแค่การต่อสู้ในชั้นศาลฎีกา ทุกอย่างก็ต้องสิ้นสุด

อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวยังคงเป็นบทเรียนที่สังคมควรใช้เป็นอุทาหรณ์

ในเรื่องการระงับยับยั้งอารมณ์ และการมีอาวุธปืนในครอบครอง

ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องดีเสมอไป

★ ศาลอุทธรณ์ตัดสินคดีลุงวิศวะ
วันที่ 10 ต.ค. ศาลจังหวัดชลบุรี อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในคดีที่ นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ อายุ 52 ปี วิศวกรบริษัทไมคอล เอนจิเนียริ่ง จำกัด เป็นจำเลยในความผิดฐานพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยก่อเหตุยิง นายนวพล ผึ่งผาย หรือปอนด์ อายุ 17 ปี จากเหตุวิวาทเรื่องที่จอดรถ เหตุเกิดใกล้ตลาดอ่างศิลา จ.ชลบุรี เมื่อค่ำวันที่ 4 ก.พ. 2560

ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่านายสุเทพมีความผิด ให้จำคุก 15 ปี แต่ลดโทษเหลือ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 10 ปี

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อพวกของผู้ตายขับรถยนต์ตู้มาจอดที่หน้าร้านขายของฝาก กีดขวางทางออกของจำเลย แล้วมีการโต้เถียงกันนั้น ยังไม่ปรากฏว่ามีถ้อยคำพูดที่ไม่สุภาพจากฝ่ายใด

แต่หลังจากที่จำเลยกะพริบไฟใส่รถตู้และบีบแตรหลายครั้ง จำเลยเริ่มใช้คำพูดไม่สุภาพในลักษณะยั่วโทสะของผู้ตาย โดยขณะนั้นจำเลยมีอาวุธปืนของกลางอยู่ใกล้ตัว แสดงว่าจำเลยและภริยามีโทสะและพร้อมที่จะมีเหตุวิวาทกับพวกของผู้ตาย

ที่จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าเหตุการณ์ในขณะนั้นมีปากเสียงกันเพียงเล็กน้อยและจบลงแล้ว จึงฟังไม่ขึ้น

เมื่อพวกของผู้ตายขับรถยนต์ตู้และรถยนต์เก๋งออกไปแล้ว หากจำเลยมีสติ รู้จักยับยั้งชั่งใจอารมณ์ร้อนบ้าง โดยจอดรถรอสักพักหนึ่งก่อน เพื่อให้โทสะคลายลงแล้วค่อยขับรถออกไป เหตุทะเลาะวิวาทในคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่จำเลยกลับขับรถตามไปในทันที

ขับแซงรถยนต์ตู้บีบแตรยาวใส่ แสดงให้เห็นว่าจงใจเจตนายั่วโทสะพวกของผู้ตาย มิใช่การบีบแตรเตือน ดังที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์

พฤติกรรมพร้อมมีเรื่อง!??

★ ชี้พกปืน–สมัครใจวิวาท
ศาลยังระบุอีกว่า จำเลยขับไปอยู่ด้านหน้า เมื่อพวกของผู้ตายซึ่งขับตามรถจำเลยมาบีบแตรยาว และเปิดไฟสูงใส่รถจำเลย อันเป็นการส่งสัญญาณความไม่พอใจและท้าทาย จำเลยก็ชะลอความเร็วลงจนเกือบจะหยุดรถ เพื่อให้พวกผู้ตายขับชนท้าย และบีบแตรรถในลักษณะส่งสัญญาณโต้ตอบกลับไป อันเป็นการรับคำท้าทายของฝ่ายผู้ตายกับพวก ทั้งมีเจตนายั่วโทสะฝ่ายผู้ตายให้เพิ่มมากขึ้น และไม่เกรงกลัวจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน

เหตุที่จำเลยมีพฤติการณ์เช่นนี้ เนื่องจากจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย แสดงให้เห็นถึงนิสัยและพฤติกรรมของจำเลยว่าพร้อมที่จะสมัครใจวิวาท

เมื่อพวกของผู้ตายขับรถยนต์เก๋งมาถึงที่เกิดเหตุ จำเลยหักหัวรถอย่างกะทันหัน ในลักษณะปาดหน้า และขัดขวางมิให้รถยนต์เก๋งของพวกผู้ตายขับต่อไปได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาวิวาทกับผู้ตายและพวกมาตลอดเส้นทาง

จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุ จำเลยก็ยังมีเจตนาวิวาทอยู่ เมื่อจำเลยเห็นว่าผู้ตายกับพวกมากันหลายคนก็เริ่มเกิดความกลัว แต่ยังคงพูดกับผู้ตายและพวกด้วยน้ำเสียงดุดันในลักษณะไว้ท่าทีว่าจะเอาเรื่อง มิใช่คำพูดในทำนองขอโทษการกระทำของตน หรือแสดงให้เห็นว่าไม่อยากมีเรื่องหรือให้เลิกแล้วกันไป

แม้ฝ่ายผู้ตายกับพวกทำร้ายร่างกายจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกันมาไม่ขาดตอนนับระยะเวลาตั้งแต่ต้นจนจบเพียง 5 นาทีเศษ

ตามพฤติการณ์เป็นกรณีจำเลยเป็นผู้เริ่มต้นก่อให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาท เมื่อจำเลยยั่วโทสะท้าทายจนฝ่ายผู้ตายโต้ตอบและสมัครใจร่วมวิวาทกับจำเลยแล้ว จำเลยจึงไม่อาจกล่าวอ้างว่าฝ่ายผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุและเมื่อเหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น จำเลยจึงจำต้องชักปืนออกมายิงเพื่อป้องกันชีวิตของจำเลยและคนในครอบครัว อันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

สู้ต่อในชั้นฎีกา

★ ยืนตามคำพิพากษาชั้นต้น
หลังรับฟังคำพิพากษา นายสุเทพยื่นประกันตัวเพื่อขอต่อสู้คดีต่อในชั้นศาลฎีกา ด้วยเงินสด 874,000 บาท พร้อมระบุว่า ยอมรับคำตัดสินศาล แต่ต้องการต่อสู้เพื่อให้ความจริงปรากฏ

โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2561 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายสุเทพมีความผิดฐานพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควร โดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง

โดยต้นเหตุเกิดจากที่รถตู้ของพวกผู้ตาย จอดรถหน้าร้านขายของฝากกีดขวางทางเข้าออกของจำเลย แต่เหตุวิวาทจบลงภายหลังจากที่พวกผู้ตายจับรถตู้และรถเก๋งออกไปโดยไม่ได้ท้าทายจำเลยอีก

หากจำเลยมีสติรู้จักยับยั้งชั่งใจ เหตุการณ์คงไม่เกิดขึ้น ทั้งภรรยาจำเลยใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพรถเก๋งของผู้ตาย ย่อมเป็นการท้าทายผู้ตายและพวกให้เกิดโทสะเข้ามาวิวาท

เหตุที่จำเลยมีความฮึกเหิมกล้าท้าทาย ก็เนื่องจากจำเลยพกพาอาวุธปืนซึ่งบรรจุกระสุนไว้แล้วติดตัวไปด้วย และเตรียมอาวุธไว้ตั้งแต่ที่หน้าร้านขายของฝาก

จำเลยจะอ้างว่ายิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของตนไม่ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ตายกับพวกทำร้ายมารดา ภรรยา และหลานที่มากับจำเลย จึงมิอาจอ้างได้ว่าจำเลยยิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของ ผู้อื่นให้พ้นภยันตรายที่ใกล้จะมาถึง

จำเลยจึงมีความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ และฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามฟ้อง

แต่เนื่องจากจำเลยมิได้มีจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงโจรผู้ร้าย เพียงแต่ขาดสติยับยั้งชั่งใจในการควบคุมตน จำเลยยิงปืนไปเพียง 1 นัด

หลังเกิดเหตุมิได้หลบหนีไปไหน และยอมรับกับเจ้าพนักงานตำรวจในทันทีว่าเป็นคนยิงผู้ตาย ประกอบกับผู้ตายมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด เห็นสมควรลงโทษจำเลยสถานเบา ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธปืนฯ ปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับ 2,000 บาท

รวมจำคุก 10 ปี และปรับ 2,000 บาท

ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง

เป็นอุทาหรณ์ของการใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง

★ ย้อนคดีหัวร้อน–ยิงม. 4 ดับ
สำหรับกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 4 ก.พ. 2560 ขณะที่นายสุเทพ ขับรถเก๋งมาสด้าสีเทา ทะเบียน ฌต 5057 กทม. พาครอบครัวไปเที่ยวชายหาดบางแสน ขากลับแวะซื้อของที่ระลึก ที่สะพานปลาอ่างศิลา ขณะที่คู่กรณีเป็นกลุ่มวัยรุ่นมากันด้วยรถตู้ 1 คัน และรถเก๋งวีออสอีก 1 คัน

โดยรถตู้คันดังกล่าวไปจอดขวางรถเก๋งของนายสุเทพที่จอดอยู่ก่อน ทำให้เกิดถกเถียงและทะเลาะกัน จนกระทั่งมีการท้าทาย ขับรถไล่ตาม ก่อนจะมีกลุ่มวัยรุ่นกรูเข้าไปทำร้ายนายสุเทพ และนายสุเทพยิงปืนสวนกลับมาถูกนายนวพล เสียชีวิต

ทั้งนี้ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ มีกระแสสังคมโลกออนไลน์ รวมทั้งดารานักแสดง ผู้มีชื่อเสียง ต่างแสดงความเห็นเข้าข้างลุงวิศวะ เพราะเห็นแค่คลิปที่วัยรุ่นกรูกันลงไปล้อมรถนาย สุเทพ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

พร้อมให้เหตุผลว่าเป็นการปกป้องตัวเอง

แต่เมื่อคลิปรายละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่จอดรถมีปากเสียง ขับรถไล่บีบแตรใส่กัน รวมทั้งคำพูดของนายสุเทพเอง ที่แสดงให้เห็นว่าเตรียมปืนเพื่อใช้ก่อเหตุ

กระแสสังคมก็เริ่มพลิกผัน บรรดาผู้ที่แสดงตนอยู่เคียงข้างก็หดหายเรื่อยๆ

จนกระทั่งมาถึงบทสรุปด้วยกระบวนการยุติธรรม

เป็นอุทาหรณ์ของการใช้อารมณ์ที่ขาดสติที่สังคมควรใช้เป็นบทเรียน