วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธรจิ้งหวัง เซียวจิ่งเหยียน สำแดง (14)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

จิ้งหวัง เซียวจิ่งเหยียน สำแดง (14)

 

หลังจากเหมยฉางซูพาถิงเซิงมายังเรือนรับรองภายในจวนหนิงกั๋วโหวไม่นานขณะกำลังครุ่นคิดหาวิธีการจะช่วยเด็กน้อยอยู่ ด้านนอกเรือนก็มีเสียงตวาดดังแว่วมา เสียง 1 เป็นของเฟยหลิวอย่างแน่นอน แต่อีกเสียงหนึ่งบ่งบอกอำนาจอย่างเด่นชัด

“เจ้าเป็นใคร บังอาจขวางข้า”

เหมยฉางซูเม้มริมฝีปากแน่น เหลือบมองไปยังถิงเซิง เด็กน้อยสีหน้าซีดเผือด เงยหน้าอ้าปากค้าง เอียงหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอก

2 มือบีบแน่น บิดไปมาจนแทบจะเปลี่ยนรูป

เหมยฉางซูในใจปวดวูบ ร้องตะโกนไปทางด้านนอก “เฟยหลิว ให้เขาเข้ามา”

เสียงต่อสู้หยุดกึก เสียงของเซียวจิ่งรุ่ยพลันดังขึ้นด้วยความเกรงอกเกรงใจอย่างยิ่งยวด “ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง ไฉนบุกเข้ามาเช่นนี้ หรือมีเรื่องด่วนอันใด ท่านบิดาเวลานี้ไม่อยู่ในจวน ถ้าอย่างไรกระหม่อมพาท่านไปรอที่ห้องโถงใหญ่”

“ข้าไม่ได้มาพบเซี่ยโหวเย”

คนผู้นั้น ทางหนึ่งกล่าววาจา กระโจนพรวดถึงเรือนรับรองเสวี่ยหลู กระทั่งปะทะกับสายตาชืดชาแฝงความเย็นเฉียบของเหมยฉางซู 2 ตาสอดส่ายเห็นถิงเซิงค่อยสงบสติอารมณ์ร้องถามไปว่า

“ถิงเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

“ไม่ทราบเป็นจิ้งหวังเสด็จมาถึง” เหมยฉางซูค่อยๆ ผุดลุกขึ้นค้อมคำนับ “เมื่อครู่เฟยหลิวเสียมารยาท ต้องขออภัย”

เบื้องหน้าย่อมเป็นโอรสองค์ที่ 7 จิ้งหวัง เซียวจิ่งเหยียน

ปีนี้พระชันษา 31 ปี เป็นชายหนุ่มรูปกายสง่างาม ใบหน้าไม่ต่างจากบรรดาพี่น้องมากนัก เนื่องจากออกค่ายทหารเป็นประจำ ดังนั้น นอกจากมีเค้าสง่าราศีแห่งเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ยังกอปรด้วยบุคลิกองอาจอีกหลายส่วน

ผิวพรรณตามมือและใบหน้าก็ไม่ได้รับการบำรุงรักษาจนอ่อนนุ่มเฉกเช่นองค์ชายอื่นๆ

ยามนี้ได้ยินชื่อซูเจ๋อจากการแนะนำของเซียวจิ่งรุ่ย สีหน้ากลับมิได้ปรากฏอารมณ์ใดเป็นพิเศษเพียงเพราะเห็นเซียวจิ่งรุ่ยแนะนำอย่างเป็นทางการ ดังนั้น จึงคำนับตอบตามธรรมเนียม ตรงข้ามกับเหมยฉางซู ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยเพิ่มความละเอียดลออในการพินิจรอบหนึ่ง

“ถิงเซิงใช่เป็นคนของวังจิ้งหวังหรือไม่” เซียวจิ่งรุ่ยรีบเอ่ยถาม

“เอ่อ ไม่ใช่” สีหน้าจิ้งหวังลำบากใจเล็กน้อย คล้ายไม่ทราบควรจะอธิบายอย่างไร “ถิงเซิงอาศัยอยู่ในเรือนขังไพร่”

“เรือนขังไพร่” เซียวจิ่งรุ่ยโพล่งขึ้น “นั่นเป็นสถานที่กักขังบ่าวไพร่ที่ทำความผิดมิใช่หรือ”

 

การซักถามเพราะความอยากรู้เรื่องราวและความสัมพันธ์ระหว่างจิ้งหวังกับถิงเซิงโดยเซียวจิ่งรุ่ยจึงได้ต่อเนื่องไปอย่างยืดยาว

ยืดยาวกระทั่งเหมยฉางซูพลันไอขึ้น

เริ่มจากความพยายามสะกดกลั้นไว้ แต่ต่อมายิ่งไอยิ่งรุนแรงราวกับจะไอจนอวัยวะภายในทั้ง 5 ฉีกแตกกระนั้น

เส้นเอ็นปูดเขียวขึ้นเต็มหน้าผาก พร้อมเหงื่อเม็ดโป้งเท่าเม็ดถั่วเหลือง

ครู่ใหญ่การไอของเหมยฉางซูจึงค่อยๆ สงบลง เลื่อนผ้าเช็ดหน้าที่ปิดปากไว้ออกมา เลือดสีแดงแสบตากองหนึ่งปรากฏขึ้นเพียงวูบพลันถูกม้วนเก็บไว้ด้านใน

จิ้งหวังยืนมองอยู่ด้านข้างโดยตลอด

ไปก็ไม่ใช่ ไม่ไปก็ไม่ใช่ ยามนี้เห็นซูเจ๋ออาการดีขึ้นมากจึงค่อยสอบถาม “ท่านซู ไม่สบายหรือ”

เหมยฉางซูค่อยๆ กลอกนัยต์ตาเหลือบไปทางถิงเซิงซึ่งยืนตะลึงปากอ้าตาค้าง ส่งยิ้มน้อยๆ พลางกวักมือเรียก “ถิงเซิงมาทางนี้”

ถิงเซิงมองไปทางจิ้งหวังแวบหนึ่ง แม้ไม่ค่อยเข้าใจแต่ยังคงสาวเท้าเนิบช้าเดินไปหา

“ถิงเซิง เจ้ายินดีให้ข้าสอนเจ้าอ่านเขียนหนังสือไหม”

ถิงเซิงสะดุ้งตกใจชั่ววูบนั้นไม่ทราบว่าควรตอบอย่างไร จิ้งหวังขมวดคิ้วคราหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านซู ถิงเซิงเป็นคนของเรือนขังไพร่ ต่อให้ถึงอายุที่ถูกปล่อยตัวออกมายังคงต้องไปเป็นทาสรับใช้ในต่างเมือง”

“กระหม่อมทราบดี” คงเพราะจากการไอรุนแรงส่งผลให้รอบดวงตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำ ทว่าในแววตากลับทอประกายร้อนแรงอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าแค่ถามเจ้าว่าเจ้ายินดีหรือไม่”

 

ถิงเซิงหายใจหอบขึ้นหอบลง 2 ครา ไม่ทราบเพราะอะไร จู่ๆ เด็กน้อยรู้สึกว่านี่คือโอกาส จึงกัดฟันยืดอกตอบด้วยเสียงอันดัง

“ข้ายินดี”

“ดี” รอยยิ้มบนใบหน้าขาวซีดของเหมยฉางซูยิ่งลึกล้ำกว่าเดิม ก่อนจะคว้ามือของเด็กน้อยมากุมไว้ในมือของตัวเอง

“เจ้ากลับไปก่อน ข้าต้องหาวิธีพาเจ้าออกมาให้ได้”

สำหรับคำมั่นที่รับปากอย่างกะทันหันของเหมยฉางซู คนที่ตื่นตกใจที่สุดกลับเป็นจิ้งหวัง เซียวจิ่งเหยียน