ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 ตุลาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | On History |
ผู้เขียน | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ |
เผยแพร่ |
คําว่า “ยิงสลุต” อย่างที่เราคุ้นๆ กันในภาษาไทยนั้น เป็นคำยืมมาจากภาษาอื่น ไม่ใช่คำไทยแท้ๆ เห็นได้ง่ายๆ ว่า ในภาษาอังกฤษเรียกลักษณะการอย่างนี้ว่า “salute” (และในภาษาฝรั่งเศส “salut”) โดยมีรากมาจากภาษาละตินว่า “salutare” ซึ่งมีความหมายถึง การต้อนรับ หรือการแสดงความคำนับ ให้เกียรติกับใครคนใดคนหนึ่ง (คำนี้ยังมีรากในภาษาเดียวกันมาจากคำว่า “salus” หรือ “salut” ที่หมายถึง สุขภาพที่ดี, ความสุข หรือการต้อนรับขับสู้)
ดังนั้น ต่อให้ไม่ต้องค้นคว้าให้มากความก็น่าจะเดาได้ไม่ยากว่า คำว่า “สลุต” ก็มาจากเสียง “salute” ของพวกฝรั่ง ที่ทำให้คนไทยรู้จักกับทั้งปืน และธรรมเนียมการยิงสลุตเพื่อเป็นเกียรติ หรือแสดงความคำนับนั่นเอง
แต่ในโลกก่อนที่จะรู้จักกับอะไรที่เรียกว่า “ปืน” นั้น ก็มีการ “สลุต” กันด้วยอาวุธ หรือเครื่องไม้เครื่องมือทำมาหากินอื่นๆ กันแล้วนะครับ ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมามีธรรมเนียมอย่างนี้เอาเมื่อรู้จักการใช้ปืนแล้วเท่านั้น
ในยุโรปมีธรรมเนียมการคำนับโดยให้เกียรติอย่างสูง หรือแสดงความเคารพ ในทำนองเดียวกับการยิงสลุต มาอย่างน้อยตั้งแต่ยุคกลาง (หรือที่เคยถูกเรียกด้วยอคติว่า ยุคมืด โดยมีอายุอยู่ในช่วงราวศตวรรษที่ 5-15 หรือตรงกับราว พ.ศ.1000-2000) อยู่หลายวิธีเลยทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็นการยื่นปลายดาบชี้ลงต่ำไปที่เบื้องหน้า, ธรรมเนียมการแสดงอาวุธต่อผู้ที่ถูกคำนับ (แน่นอนว่าผมหมายถึงอาวุธที่พกติดตัว), ธรรมเนียมการลดใบเรือลงกึ่งหนึ่ง หรือครึ่งใบ รวมไปถึงการวางไม้พาย สำหรับพวกทหารเรือ และโจรสลัด (ซึ่งหลายครั้งมักจะเป็นคนเดียวกัน สำหรับโลกเมื่อครั้งกระโน้น) เป็นต้น
ที่สำคัญก็คือ ในช่วงศตวรรษที่ 14 (ราว พ.ศ.1850-1950) คือช่วงปลายของยุคกลางนี้เอง ที่พวกยุโรปได้รู้จักกับ “ดินปืน” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และก็แน่นอนด้วยว่า มีการยิงสลุตด้วย “ปืน” ไม่ว่าจะเป็นปืนใหญ่ หรือปืนไฟ ในการแสดงความเคารพ หรือคำนับเพื่อให้เกียรติอย่างสูงด้วย
และถึงแม้ว่าการใช้ปืนระดับพกติดตัวในการยิงสลุตนั้น จะมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 แล้วก็ตาม แต่กว่าจะเริ่มมีธรรมเนียมปฏิบัติเป็นมาตรฐานที่ชัดเจน ก็เพิ่งจะเป็นในช่วงราวศตวรรษที่ 17 (ตรงกับราว พ.ศ.2150-2250) เท่านั้นเอง
ในช่วงเวลาดังกล่าว ชาวยุโรปเริ่มขยายการค้าโลกข้ามสมุทรกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งก็ว่ากันว่า ธรรมเนียมการยิงสลุตด้วยปืนไฟ ก็แพร่กระจายไปตามเส้นทางการค้าโลกนี่เอง
โดยปกติแล้ว การยิงสลุตด้วยปืนไฟ มักจะยิงเป็นชุด ชุดละ 21 นัด (พวกฝรั่งจึงมีสำนวนเรียกการยิงสลุตว่า “21 guns” หรือ “21 guns salute” นั่นเอง) ไม่ใช่นึกจะยิงกี่นัดก็ได้ตามใจชอบ
ส่วนทำไมต้องยิงชุดละ 21 นัดนั้น ก็มีที่มาที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือ และจอดเรือเข้าฝั่งในสมัยดังกล่าวนั่นเอง
เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า แต่เดิมนั้นเรือของพวกอังกฤษจะบรรทุกปืนใหญ่อยู่ลำละ 7 กระบอก และเมื่อเรือจะเข้าฝั่งก็เป็นธรรมเนียมว่า เรือจะต้องยิงปืนออกทั้ง 7 กระบอก กระบอกละ 1 นัด เพื่อเป็นสัญญาณให้ป้อมบนฝั่งทราบจำนวนปืน (และเป็นการบอกเป็นนัยว่า “กูมาดี”)
(ส่วนที่ว่าทำไมบนเรือจะต้องมีปืน 7 กระบอกพอดิบพอดีเท่านั้น ยังเป็นคำถามที่ถกเถียงกันไม่จบ และคำอธิบายโดยมาก ก็ถูกลากเข้าเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของเลข 7 ตามพระคัมภีร์ของชาวคริสต์ไปเสียหมด)
เมื่อเรือยิงปืนไปชุดหนึ่งแล้ว ก็มีธรรมเนียมว่า ฝ่ายป้อมที่บนฝั่งจะต้องยิงตอบคืนเป็นสามเท่าของจำนวนลูกกระสุนปืนที่เรือยิงออกมา ซึ่งก็ตรงกับ 21 นัด
ดังนั้น จึงกลายเป็นธรรมเนียมว่า การยิงสลุต 21 นัด ได้กลายเป็นธรรมเนียมการต้อนรับขับสู้นับแต่บัดนั้น
ไม่ว่าทำไมบนเรือต้องมีปืนอยู่เพียง 7 กระบอกไม่ขาดไม่เกิน และทำไมป้อมบนฝั่งต้องยิงตอบกลับมาเป็นจำนวนสามเท่าของที่เรือยิงไปนั้นก็ตามที แต่ถ้าหากไม่ว่าจะฝั่งไหนยิงเกินจำนวน หรือขาดไปแม้แต่หนึ่งนัด นั่นก็ชวนให้ฝั่งตรงข้ามระแวงแน่ๆ อย่างไม่ต้องสงสัยเลยแหละนะครับ
ดังนั้น จำนวนกระสุนที่ถูกยิงออกมาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้ายิงขาด หรือยิงเกิน ก็อาจจะเกิดสมรภูมิขนาดย่อมเอาง่ายๆ ไม่ใช่ว่าใครนึกจะยิงสลุตกี่นัด ก็ยิงกันไปตามแต่ใจจะสั่งมาซะที่ไหน?
แต่ก็แน่นอนด้วยว่า ธรรมเนียมเหล่านี้ได้ถูกพัฒนาจนแตกต่างกันไปในที่ต่างๆ เช่น ในอินเดีย ซึ่งเคยตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษนั้น ก็ได้พัฒนาธรรมเนียมการยิงสลุตจนซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยหากเป็นการยิงสลุตให้กับมหาราชา ก็ต้องยิงชุดละ 101 นัด ส่วนถ้าเป็นพระราชินี หรือพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง เรื่อยไปจนถึงผู้ว่าราชการแผ่นดินนั้น ก็จะยิงสลุตชุดละ 31 นัด ส่วนชุดละ 21 นัดนั้น ก็ยังมีใช้อยู่เช่นกัน แต่จะใช้สำหรับหัวหน้าแคว้นเท่านั้น เป็นต้น
ในส่วนของไทยนั้น มีหลักฐานการยิงสลุตเก่าแก่ที่สุดอยู่ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2199-2231) โดยในบันทึกของจดหมายเหตุฝรั่งเศสนั้น กล่าวถึงเรือรบของฝ่ายฝรั่งเศสเองที่ชื่อว่า เลอโวตูร์ ได้เดินทางเข้ามาจนถึงป้อมวิชเยนทร์ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นป้อมวิชัยประสิทธิ์) เมืองบางกอก
มองซิเออร์ (มิสเตอร์ ในภาษาฝรั่งเศส) คอนูแอล กัปตันเรือจึงได้มีใบบอกไปยังราชสำนักอยุธยาว่า จะขอยิงสลุตเพื่อเป็นเกียรติให้แก่สยามจะขัดข้องไหม?
สมเด็จพระนารายณ์จึงรับสั่งให้ออกพระศักดิ์สงคราม หรือมองซิเออร์ คอม เดอ ฟอร์แบง นายทหารชาวฝรั่งเศสที่เข้ามารับราชการกับราชสำนักอยุธยา และเป็นผู้รักษาป้อมอยู่ในขณะนั้นสั่งให้ยิงได้
ต่อมาทั้งในสมัยอยุธยายุคหลังสมเด็จพระนารายณ์, กรุงธนบุรี และต่อเนื่องมายังสมัยรัตนโกสินทร์นั้น ไม่มีหลักฐานของธรรมเนียมการยิงสลุตเลย เป็นไปได้ว่า ธรรมเนียมนี้ถูกมองว่าเป็นฝรั่ง จึงไม่ได้มีรูปแบบข้อบังคับที่ชัดเจนนัก และคงไม่ใช่เรื่องสำคัญ จึงไม่ได้ถูกบันทึกไว้
(มีคำอธิบายที่ว่า ธรรมเนียมนี้ถูกยกเลิกในสมัยสมเด็จพระเพทราชา เพราะไม่โปรดปรานฝรั่ง แต่เอาเข้าจริงแล้ว แม้แต่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์เอง ก็ไม่ได้มีธรรมเนียมการยิงสลุตจนกัปตันชาวฝรั่งเศสต้องทำใบบอกไปขออนุญาตราชสำนักของอยุธยา และอยุธยาก็ให้ฟอร์แบง ซึ่งเป็นฝรั่งเศส เป็นผู้จัดการในเรื่องนี้ไม่ใช่หรือครับ?)
การยิงสลุตเพิ่งจะถูกกล่าวถึงในเอกสารของสยาม สมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นการยิงสลุตเพื่อต้อนรับเซอร์ จอห์น เบาว์ริ่ง ราชทูตจากอังกฤษ ที่เข้ามาทำสนธิสัญญาระหว่างอังกฤษกับสยาม เมื่อ พ.ศ.2398 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 1
ดังนั้น ถ้าธรรมเนียมการยิงสลุตในครั้งนั้นจะถูกบันทึกไว้ก็ไม่แปลกอะไร และสุดท้ายก็ไม่ได้มีการออกกฎหมายเป็นธรรมเนียมการยิงสลุตอะไรที่ชัดเจนอยู่เหมือนเดิม
กฎหมายที่ว่าด้วยธรรมเนียมการยิงสลุตของสยาม เพิ่งจะมีในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการออก “ข้อบังคับว่าด้วยการยิงสลุต ร.ศ.125” เมื่อ พ.ศ.2448 ซึ่งมีสิ่งที่น่าสนใจก็คือ ได้แบ่งการยิงสลุตไว้เป็นสองประเภทคือ ยิงสลุตหลวง และยิงสลุตข้าราชการ
น่าเสียดายที่ผมหาต้นฉบับ ข้อบังคับที่ว่านี่มาอ่านเองกับตาไม่ได้ แต่ถ้าจะพิจารณาจากกฎหมายที่ว่าด้วยการยิงสลุตฉบับต่อมาคือ “พระราชกำหนด การยิงสลุต ร.ศ.131” (พ.ศ.2455) ที่ได้เพิ่มเติมการยิงสลุตนานาชาติขึ้นมาอีกแบบ และได้จำแนกการยิงสลุตหลวงเพิ่มเติมเป็น 2 แบบคือ สลุตหลวงธรรมดา ยิงปืน 21 นัด และสลุตหลวงพิเศษ ยิงปืน 101 นัด
ซึ่งชวนให้คิดถึงธรรมเนียมการยิงสลุตของอินเดียอย่างมหัศจรรย์
การยิงสลุตในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 (ซึ่งเคยเสด็จอินเดีย และนำสารพัดธรรมเนียมสมัยใหม่มาจากอินเดีย เช่น แนวคิดชุดราชประแตน ก็ได้ไอเดียมาจากตอนนั้น) อาจจะได้รับมาจากอินเดีย (ยิงสลุตหลวง สมัยรัชกาลที่ 5 อาจจะยิง 101 นัด และยิงสลุตข้าราชการ อาจยิง 21 นัด ไม่อย่างนั้นจะแยกเป็นสองแบบไว้ทำไม? และถ้าสมัยรัชกาลที่ 6 ยังยิงเหมือนรัชกาลที่ 5 จะมีการออกกฎหมายว่าด้วยเรื่องนี้ใหม่ทำไม?)
บางทีแบบแผนการยิงสลุตครั้งแรกของไทย อาจได้มาจากอินเดีย ไม่ใช่ฝรั่งเสียก็ได้หรือเปล่า?