เผยแพร่ |
---|
ไม่ว่าบทสรุปของนักสังคมวิทยายุค ดร.วิบูลย์ ธรรมวิทย์ ว่าด้วยช่องว่างระหว่างวัย Generation Gap หรือความห่วงใยว่าด้วย การปะทะระหว่างรุ่น Clash of Generation ในปัจจุบัน
เหมือนกับเป็นเรื่องระหว่าง “รุ่น” เหมือนกับเป็นเรื่องระหว่าง “วัย”
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงล้วนเป็นเรื่องในทาง “ความคิด”
หากตัดคำว่ารุ่น หากตัดคำว่าวัยออกไป ในที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องอันเป็นช่องว่าง เป็นเรื่องอันเป็นการปะทะในทาง”ความคิด”ที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่อย่างเด่นชัด
เพียงแต่เมื่อปรากฎ “ช่องว่าง” ถี่และห่างมากขึ้น มากขึ้น ก็จะพัฒนาไปสู่ “การปะทะ”อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
ยืนยันกระบวนการพัฒนาจาก”ปริมาณ”ไปสู่”คุณภาพ”
กว่าที่สังคมไทยจะเกิดการลุกขึ้นสู้และเปลี่ยนแปลงการปกครองในเดือนมิถุนายน 2475 มิใช่ว่าเป็นเรื่องจู่ๆ ตรงกันข้าม ได้มีการสะสมทั้งในเชิงปริมาณและในเชิงคุณภาพ
สะสมปัจจัยทางเศรษฐกิจตั้งแต่ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ก่อรูปในทางความคิดตั้งแต่บทกวีของ”สุนทรภู่” บทความและข้อเรียกร้องของ ต.ส.ว.วัณณาโภ เทียนวรรณ ปะทุเป็นร.ศ.130 และการเติบโตผ่านรูปของหนังสือพิมพ์และนวนิยายยุค”ศรีบูรพา”
ที่สุดก็เกิดปรากฏการณ์”คณะราษฎร”ที่นำโดย นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา(พจน์ พหลโยธิน”
นั่นคือผลจากการต่อสู้กันในทาง”ความคิด”
นั่นคือผลจากการปะทะกันระหว่างความคิด”เก่า”ระบอบเดิม กับความคิด”ใหม่”ระบอบใหม่
2475 เป็นเช่นนี้ 2516 ก็เป็นเช่นนี้
สภาพการณ์ที่เกิดช่องว่างอันนำไปสู่การปะทะระหว่างรุ่นซึ่งสำแดงผ่านอุบัติแห่งพรรคอนาคตใหม่ภายในกระบวนการเลือกตั้งเมื่อเดือน มีนาคม 2562
จึงมิใช่เรื่องที่อยู่ๆก็มารวมศูนย์อยู่ที่พรรคอนาคตใหม่อย่างที่หลายฝ่ายเกิดความตระหนก
แท้จริงแล้ว คือผลึกแห่งการสะสมปัญหา สะสมความขัดแย้ง
เด่นชัดคือดำรงอยู่ในห้วงก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 เด่นชัดคือดำรงอยู่ในห้วงก่อนรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
ความคิดในแบบ”อนาคตใหม่”คือเหยื่อของสถานการณ์