วงค์ ตาวัน | รื้อฟื้นตื่นตัว 14 และ 6 ตุลา

วงค์ ตาวัน

สังเกตจากความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียล พบว่าบรรยากาศการรำลึกถึง 2 เหตุการณ์การต่อสู้ของประชาชนในเดือนตุลาคม ทั้ง 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 นั้น

ในปีนี้กลับมาคึกคักอย่างมากในหมู่คนรุ่นใหม่

“เต็มไปด้วยการถกเถียงสนทนาถึง 14 ตุลาฯ และ 6 ตุลาฯ อย่างกว้างขวาง”

ด้วยความที่สถานการณ์บ้านเมืองในช่วง 5 ปีของการรัฐประหาร คสช.เมื่อปี 2557 ได้สร้างความอึดอัดให้กับคนหนุ่มสาวหัวใจเสรี

ด้วยความที่โลกก้าวไปไกลมาก เป็นโลกยุคดิจิตอลที่ฉับไวกว้างใหญ่

สังคมไทยในยุคดิจิตอล ก็คือยุคของคนรุ่นใหม่จริงๆ จึงเกิดสภาพขัดแย้งกับบรรยากาศบ้านเมืองเราที่ถดถอยล้าหลัง อยู่ในการปกครองด้วยรัฐบาลทหาร

การต่อต้านการท้าทายอำนาจล้าหลังเลยร้อนแรงไปทั่วโซเชียล

“แล้วแปรเป็นความตื่นตัวสุดขีดในการเลือกตั้ง 24 มีนาคมที่ผ่านมา!”

ทำให้พรรคอนาคตใหม่ ที่ตรงใจกับคนรุ่นใหม่มากที่สุด เกิดปุ๊บก็โตปั๊บ ทั้งยังเป็นพรรคตัวแทนคนหนุ่มสาวที่มีบทบาททางการเมืองสูงในสภาชุดนี้

แถมยิ่งกลุ่มล้าหลังในสังคมไทยแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งในเป้าหมายจะทำลายล้างพรรคนี้ให้ได้ เพราะหวาดผวาการเติบโตมาแรง และหนักแน่นแหลมคมในหลักการ

“เลยยิ่งปลุกให้คนหนุ่มสาวผู้สนับสนุนพรรคคนรุ่นใหม่ เข้าสู่บรรรยากาศการต่อสู้ที่เข้มข้นร้อนระอุอยู่ตลอดเวลา”

เมื่อถึงวันครบรอบเหตุการณ์ใหญ่ในอดีต 14 ตุลาฯ และ 6 ตุลาฯ เลยยิ่งปลุกให้คนหนุ่มสาวยุคนี้เข้ามาเรียนรู้บทเรียนการต่อสู้ของคนหนุ่มสาวยุคนั้น จนกลายเป็นกระแสใหญ่ในเดือนตุลาคม 2562

เป็นเรื่องน่ายินดีที่คนรุ่นใหม่ในยุคนี้ตื่นตัวการเมือง สนใจเรียนรู้จากคนหนุ่มสาวเมื่อกว่า 40 ปีก่อน

“หมายถึงการสืบทอดเจตนารมณ์ การลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตย เพื่อสิทธิเสรีภาพในสังคมไทย จะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง”

ถือเป็นข่าวร้ายของกลุ่มอำนาจล้าหลัง ที่พยายามกลบเกลื่อนลบเลือนประวัติศาสตร์ หวังจะให้เรื่องราวเดือนตุลาคมในอดีตเลือนหายไป

จะได้ไม่คิดไม่ต่อสู้แบบนั้นกันอีก ซึ่งคงไม่เป็นไปเช่นนั้น

แค่การที่ไม่มีการจัดทำบันทึกเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ขึ้นมาอย่างเป็นทางการ ประเด็นนี้ประเด็นเดียวก็สร้างความรู้สึกท้าทายคนรุ่นใหม่ในวันนี้อย่างมาก

เพราะกลุ่มล้าหลังอนุรักษนิยมการเมืองไม่อยากให้คนรุ่นหลังได้ซึมซับจิตใจที่กล้าหาญของประชาชนคนเดินดิน ที่ลุกฮือโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการทหารเมื่อ 14 ตุลาคม 2516

โดยเพาะอย่างยิ่งบทบาทของนักศึกษาที่เป็นแกนนำ ปลุกประชาชนตื่นขึ้นมากลายเป็นพลังมหาศาล จนอำนาจปืน รถถัง ก็ทานไม่ไหว

“ไม่อยากให้รับรู้ถึงเหตุการณ์กวาดล้างเข่นฆ่าเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 เพื่อต้องการหยุดขบวนการนักศึกษาประชาชนที่ขยายตัวอย่างมาก ต่อเนื่องมาจาก 14 ตุลาคม 2516”

กระบวนการปกปิดประวัติศาสตร์เช่นนี้เอง ยิ่งท้าทายคนรุ่นใหม่ในวันนี้

“อยากให้ลืมกลับยิ่งจำ อยากปกปิดกลบเกลื่อนยิ่งท้าทายค้นหา!”

ยิ่งในโลกยุคดิจิตอล ที่คนหนุ่มสาวเข้าถึงมานานและเชี่ยวชำนาญ ไม่ใช่เพิ่งรู้แล้วเพิ่งมาตื่นเต้นแบบนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วคิดเอาเองว่าประชาชนยังไม่รู้จักเข้ากูเกิล

การสืบค้นข้อเท็จจริงและตรวจสอบเปรียบเทียบหาความถูกต้อง ไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับคนรุ่นใหม่

14 ตุลาคม วันชัยชนะของนักศึกษาประชาชนในการสร้างประชาธิปไตยผ่านมาแล้ว 46 ปี ขณะที่การกวาดล้างเข่นฆ่าเพื่อหยุดยั้งขบวนการนักศึกษาประชาชนเมื่อ 6 ตุลาคม ผ่านมาแล้ว 43 ปี

“คนรุ่นใหม่ในวันนี้ค้นหาความจริงเรียนรู้ได้หมด และตื่นตัวอย่างกว้างขวาง”

ยิ่งเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต ผ่านกระบวนการบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสี ใช้ข้ออ้างหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ปลุกให้มวลชนฝ่ายขวาคลั่งจนถึงจุดสุดขีด นำมาสู่การสังหารหมู่ที่ธรรมศาสตร์ ยิ่งสร้างความเศร้าสะเทือนใจให้คนรุ่นใหม่ยุคนี้อย่างมาก

“ฉากเอาคนไปแขวนคอกับต้นมะขามสนามหลวง แล้วเอาเก้าอี้ฟาด ท่ามกลางไทยมุงที่ยืนดูยิ้มเยาะหัวเราะร่า ที่ไปปรากฏในเพลงแร็พประเทศกูมีและในโลกโซเชียล กลายเป็นสัญลักษณ์ความรุนแรงในประวัติศาสตร์”

ทำให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และเข้าใจ ว่ามีแต่จะต้องผลักดันสังคมไทยให้ก้าวไปข้างหน้า พ้นจากภาวะโลกหมุนถอยหลังให้ได้ เพื่อให้สังคมไทยไปสู่ยุคเคารพในความคิดต่าง ต่อสู้กันด้วยเหตุผล

ต้องมีการเมืองที่มีเสรีภาพประชาธิปไตยเต็มเปี่ยม ไม่ใช่ประชาธิปไตยครึ่งๆ กลางๆ ถูกล็อกด้วยยุทธศาสตร์ 20 ปี เลือกตั้งทีไรก็มี 250 ส.ว.นอนรอโหวตให้มีพลเอกมาเป็นนายกฯ ไปเรื่อยๆ

ไม่ควรปล่อยให้กลุ่มอำนาจอนุรักษนิยมครอบงำสังคม แล้วปลุกคนให้บ้าคลั่งได้อย่างนั้นอีก

ในทุกสังคมโลก พลังที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองมาจากคนหนุ่มสาวแทบทั้งสิ้น เพราะเป็นวัยที่มีความเร่าร้อน มากพลัง ไม่มีผลประโยชน์ธุรกิจการค้าเงินทองมาฉุดรั้ง เป็นช่วงชีวิตที่ยังไม่มีภาระผูกพันให้วอกแวก

ประเภทที่ออกมาพูดจาสั่งสอนคนรุ่นใหม่ว่า ยังไม่เคยทำการงานหารายได้เลี้ยงตัวเองเลย ยังไม่เคยแม้แต่จะหาเงินรับผิดชอบตัวเองได้เลย แล้วจะมาคิดต่อสู้ทางการเมืองได้อย่างไร

“นั่นเป็นความคิดเป็นการพูดที่กลับหัวกลับหางอย่างมาก”

14 ตุลาฯ ที่ฉุดสังคมไทยให้หลุดจากวงจรอำนาจท็อปบู๊ตนั้น ถ้าไม่ใช่คนหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัย จะกล้าตัดสินใจนำประชาชนต่อสู้อย่างไม่กลัวเกรงสิ่งใดได้เช่นนั้นหรือ

ที่ฮ่องกง กำลังท้าทายอำนาจมังกรจีน ก็คือคนหนุ่มสาวล้วนๆ ทั้งเคลื่อนไหวนัดชุมนุมเดินขบวน ทั้งต่อสู้ผ่านโลกโซเชียล

คนรุ่นเก่าที่วันนี้มากด้วยภาระผูกพัน ทั้งชีวิตส่วนตัว ทั้งธุรกิจการงาน มุ่งหารายได้เงินทองเสียอีก ที่ต้องยอมรับว่าความคิดความอ่านเริ่มล้าหลัง มีผลประโยชน์เข้ามาพัวพัน จนหมดสิ้นความกล้าหาญตรงไปตรงมาในปัญหาบ้านเมืองแล้ว

“ต้องยอมรับและสนับสนุนความตื่นตัวของคนรุ่นใหม่มากกว่า!”

เลิกทำตัวว่ารู้มาก ผ่านมาก่อน อวดอ้างว่าสู้มาตั้งแต่ 14 ตุลาฯ แล้ว ทั้งที่วันนี้จุดยืนทางการเมืองถูกฉุดรั้งจากผลประโยชน์มากมาย

“จนกลายเป็นฝ่ายขวาจัด เป็นฝ่ายอนุรักษนิยมการเมือง ไม่ต่างจากกลุ่มอำนาจล้าหลังที่ร่วมกันโค่นล้มในยุคปี 2516 และ 2519 เสียอีก”

จนวันนี้ถูกป่าวประณามเสียผู้เสียคนกันไปหลายราย ว่าจากซ้ายกลายเป็นขวา หนักกว่าขวาจัดในยุค 40 ปีก่อนด้วยซ้ำ

“จากที่เคยต้องโดนฝ่ายขวาไล่ล่าพิฆาตซ้าย วันนี้กลับไปเป็นฝ่ายขวาสุดโต่งไล่ล่านักประชาธิปไตยอย่างไม่ละอายกันมากมายหลายราย!”

แต่นักต่อสู้ในอดีตยุคตุลาคม 2516 และ 2519 ที่ยังมีจุดยืนมั่นคง ยืนข้างคนส่วนใหญ่ก็ยังมีอยู่มากมาย ยังเป็นแหล่งความรู้ เป็นนักคิดที่ลึกซึ้ง ให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษาค้นหาอย่างดี

ทั้งหลายทั้งปวงต้องยอมรับว่า โลกต้องหมุนไปข้างหน้า และสังคมไทยวันนี้แม้จะถูกฉุดให้ถอยหลังด้วยอำนาจล้าหลัง

แต่คนรุ่นใหม่ยุคนี้ก็เติบโตขึ้นมาอย่างมากมาย เป็นพลังที่ผลักดันความก้าวหน้าผ่านโลกโซเชียล ผ่านการชุมนุมเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพ ต่อต้านอำนาจคณะรัฐประหาร และ คสช.ที่แปลงร่างอย่างไม่สยบยอม

บรรยากาศวัน 14 ตุลาคม และ 6 ตุลาคมในปีนี้จึงเต็มไปด้วยความตื่นตัวคึกคัก ถกเถียงสนทนาค้นหาความจริง อย่างกว้างขวางในหมู่คนรุ่นใหม่อย่างน่าสนใจ!