วงค์ ตาวัน | 6 ตุลา 19 กับเอกสารลับ 2562

วงค์ ตาวัน

ถ้าเป็นประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาหรือชาติใหญ่ๆ ในยุโรป ที่ต้องเผชิญหน้ากับภัยก่อการร้ายระดับโลก ต้องรับมือกับสารพัดขบวนการนักรบจากอาหรับ จากตะวันออกกลาง หรือในบางประเทศที่มีข้อพิพาทกับชาติเพื่อนบ้าน เดิมพันด้วยผลประโยชน์มหาศาล ถึงขั้นยกกองทัพเข้าห้ำหั่นกัน หรือวางกำลังพร้อมประจัญบานกันอย่างตึงเครียด

ประเทศแบบนี้ ถือว่ากำลังต้องรับมือกับศัตรูของชาติ

“ถ้าผู้นำประเทศหรือนายกฯ ถือเอกสารลับโครงข่ายขบวนการทำลายประเทศ ก็ไม่นับว่าผิดแปลกอะไร”

แต่สำหรับประเทศไทย ถ้ายังมีรายงานลับเรื่องโครงข่ายขบวนการทำลายประเทศ ก็ต้องตั้งข้อสงสัยว่า ขบวนการนี้หมายถึงอะไร แล้วมีด้วยหรือ

เพราะไทยเราในวันนี้ไม่ได้มีข้อพิพาทกับชาติเพื่อนบ้านรุนแรงอะไรเลย จึงไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องรับมือกับโครงข่ายของกลุ่มที่จะลักลอบเข้ามาทำลายประเทศเรา

ภายในประเทศ มีข้อขัดแย้งทางความคิด ทางการเมืองอยู่จริง มีความขัดแย้งระหว่างฝักฝ่ายอยู่จริง

“แต่ความขัดแย้งเหล่านี้ จะตีความว่าเป็นระดับขบวนการทำลายประเทศได้หรือ!?!”

เป็นเรื่องความคิดต่างในหมู่ประชาชนคนไทย ซึ่งบางช่วงอาจพัฒนาแตกแยกรุนแรง แต่ทั้งหมดก็เป็นปัญหาระหว่างคนในชาติเดียวกัน และไม่มีใครคิดจะทำลายประเทศชาติแน่นอน

หรือจะเป็นปัญหาทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองขั้วต่างๆ

นั่นก็เป็นการต่อสู้ทางการเมือง ภายใต้กติกาประชาธิปไตย ไม่ใช่ปัญหาการทำลายประเทศชาติแน่ๆ

ส่วนที่จะเข้าข่ายการใช้ความรุนแรงใช้การก่อการร้าย ก็คือปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

“แต่ขบวนการต่อสู้ในพื้นที่ไฟใต้ จริงๆ แล้วก็คือคนไทยในพื้นที่นั้น ไม่ใช่กองกำลังที่ยกมาจากนอกประเทศที่ไหน”

3 จังหวัดใต้ เป็นปัญหาความเป็นธรรม ปัญหาการถูกอำนาจกดขี่ ไปจนถึงความละเอียดอ่อนเรื่องศาสนา เชื้อชาติ

แต่ก็คือการต่อสู้ที่ใช้ความรุนแรงจากกลุ่มหัวรุนแรง ซึ่งก็คือคนในพื้นที่ และชัดเจนแล้วว่าจะต้องแก้ไขด้วยการพูดคุยเจรจา ไม่ใช่การปราบปราม

นี่ก็คือเรื่องของผู้คนที่ต่อสู้กับรัฐเพื่อเรียกหาความเป็นธรรมในมุมมองของตนเอง

จึงยังไม่เข้าใจว่า เอกสารลับโครงข่ายขบวนการทำลายประเทศที่ปรากฏในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนเป็นที่ฮือฮานั้น

หมายถึงใครกันแน่!??

เอกสารโครงข่ายขบวนการทำลายประเทศ ปรากฏตัวขึ้นในระหว่างการประชุมสภาเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ในการพิจารณาญัตติขออภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามกรณีนายกฯ และ ครม.ถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน

โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือเอกสารนี้เข้ามาในห้องประชุมสภา มีช่างภาพสื่อมวลชนมองเห็น และจับภาพได้ชัดเจน

ต่อมาโฆษกรัฐบาลได้อธิบายว่าเป็นเอกสารลับที่ฝ่ายความมั่นคงทำรายงานเสนอต่อนายกรัฐมนตรี

แสดงว่ามีที่มาที่ไปชัดเจน แสดงว่าฝ่ายความมั่นคงยังคงจับตากลุ่มคนในบ้านเราเองว่าเป็นขบวนการทำลายประเทศ

“ไม่น่าเชื่อว่าในยุค พ.ศ.2562 นี้ ฝ่ายความมั่นคงยังมีมุมมองเช่นนี้อยู่อีก!!”

แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก ในเมื่อนายกรัฐมนตรีในยุคนี้คืออดีตนายทหารยศ พล.อ. และเป็นอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร

ขณะเดียวกัน เมื่อมามองภาพความเป็นจริงว่า ประเทศไทยเรายังเผชิญภัยคุกคามทำลายชาติจากนอกประเทศมีจริงหรือไม่ ก็มองไม่เห็น

มุมมองแบบนี้ คือฝ่ายความมั่นคงในยุคปี 2500 ที่มีการเคลื่อนไหวต่อสู้ของคอมมิวนิสต์ในไทย และเริ่มใช้การต่อสู้ด้วยอาวุธในปี 2508

“ในช่วงแรกที่คอมมิวนิสต์ไทยเคลื่อนไหว ฝ่ายรัฐมีมุมมองหรือมีการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อโจมตีฝ่ายคอมมิวนิสต์ว่าเป็นลัทธิอุบาทว์ จ้องจะฮุบประเทศไทย”

แต่สู้กันมาจนถึงปี 2523 ฝ่ายรัฐและกองทัพก็ยอมรับความจริงว่า คอมมิวนิสต์หรือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยนั้นก็คือคนไทยที่มีอุดมการณ์ต่างออกไป รวมทั้งคนที่แห่กันเข้าไปร่วมกับคอมมิวนิสต์ในป่า ก็คือชาวไร่ชาวนา กรรมกร คนยากจน ที่โดนกดขี่ข่มเหง ไม่ได้รับความเป็นธรรม และมีปัญหาความยากจน

รวมถึงการก่อเหตุ 6 ตุลาคม 2519 ฆ่าหมู่นักศึกษาประชาชนในเมือง ทำให้คนที่รอดตายเข้าป่าจับปืน ไปร่วมกับคอมมิวนิสต์จนยิ่งขยายใหญ่

“จนภายหลังจึงได้ข้อสรุปที่ถูกทางจากรัฐไทยว่าเหล่านี้ก็คือคนไทยแน่ๆ จึงนำมาสู่การออกคำสั่งที่ 66/2523 เปิดทางให้คนเข้าป่ากลับคืนเมืองมาต่อสู้อย่างสันติ โดยไม่มีความผิดตามกฎหมายใดๆ ทำให้ยุติสงครามคอมมิวนิสต์ได้ในที่สุด”

แต่ก่อนหน้านั้น ด้วยทัศนคติคับแคบ มองคนคิดต่าง คนที่ต่อสู้ด้วยความคิดอุดมการณ์ต่างออกไป ตีว่าเป็นพวกลัทธิทำลายชาติ

“มีข่าวกรองรายงานลับ ติดตามไล่ล่า”

จึงทำให้แนวทางการจัดการกับคอมมิวนิสต์คือการปราบปราม การเปิดศึกสงครามสู้รบ ลงเอยกลายเป็นยิ่งปราบ คอมมิวนิสต์ยิ่งโต

จนสุดท้ายต้องใช้การเมืองนำการทหาร ยอมรับว่าคอมมิวนิสต์ก็คือคนคิดต่างอุดมการณ์ต่าง สามารถอยู่ร่วมกันได้ ต่อสู้ตามความคิดของตนเองได้ ภายใต้เวทีสันติ

แต่เอกสารลับโครงข่ายขบวนการทำลายประเทศที่เพิ่งออกในปี พ.ศ.นี้

ทำให้น่าสงสัยว่า ฝ่ายรัฐยุคสมัยที่ต่อเนื่องจากรัฐบาลทหารยังมีทัศนคติที่มองคนคิดต่างเป็นขบวนการทำลายประเทศอย่างในอดีตย้อนยุคเมื่อครั้งต่อสู้กับคอมมิวนิสต์อีกหรือ??

ตุลาคมปีนี้ 2562 เป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ครบ 43 ปี แต่ดูเหมือนคนส่วนหนึ่งในสังคมไทยยังไม่สรุปบทเรียนจากเหตุนองเลือดอำมหิตนี้ เพราะยังมีการสร้างวาทกรรม คนชังชาติ คนไม่สำนึกในบุญคุณแผ่นดิน

ไปจนถึงยังมีเอกสารลับโครงข่ายขบวนการทำลายประเทศ

ในความคิดความเชื่อแบบนี้ ยังมองว่าเรามีขบวนการทำลายประเทศอยู่อีก

“จะหมายถึงใครบ้าง!?”

อาจจะหมายถึงอดีตนายกฯ ที่หนีความขัดแย้งการเมืองหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ

หรือหมายถึงพรรคการเมืองในขั้วตรงข้ามกับกลุ่มอำนาจปัจจุบัน

หรือหมายถึงพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่มาแรง ทำเอาฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองหวาดผวาหนัก เกิดศัพท์แสงย้อนยุคสมัยคอมมิวนิสต์ เช่น คนรุ่นใหม่โดนล้างสมอง

หรือหมายถึงนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่เรียกหาเสรีภาพ ประชาธิปไตย

“ถ้าหมายถึงคนเหล่านี้หรือพรรคการเมืองเหล่านี้ ก็แปลว่าฝ่ายความมั่นคงและกลุ่มอำนาจยุคนี้ ยังมีทัศนคติโบราณอย่างมาก”

แค่คิดต่าง แค่มีแนวทางการเมืองที่แตกต่างไปจากผู้กุมอำนาจ ก็กลายเป็นพวกทำลายชาติไปหมด

“เรากำลังจะรำลึกถึง 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งต้นเหตุมาจากทัศนคติแคบสั้น ที่เห็นนักศึกษาประชาชนที่เคลื่อนไหวสร้างสังคมที่เป็นธรรม มีเสรีภาพ ประชาธิปไตย กลายเป็นพวกคอมมิวนิสต์”

ในวันที่ 6 ตุลาคม กองกำลังมวลชนฝ่ายขวาที่บุกเข้าไปในธรรมศาสตร์ก็ถูกปลุกปั่นว่า ในนั้นมีคอมมิวนิสต์จากลาว เขมร ญวน เมื่อจับตัวได้ก็เลยเอามาทุบตี เอามาเผา เอามาตอกลิ่ม

“และเอาไปแขวนคอกับต้นมะขามสนามหลวง พร้อมกับเอาเก้าอี้ฟาด”

เหตุการณ์ปี 2519 ผ่านไปแล้ว ทิ้งบาดแผลให้สังคมไทยอย่าวร้าวลึก

ในปี 2562 นี้ก็ยังสร้างวาทกรรม ยังมีเอกสารลับ

ด้วยท่วงทำนองย้อนยุคเหมือนสมัยกระเหี้ยนกระหือรือจะเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันในวันที่ 6 ตุลาคมดังเดิม!