วิเคราะห์ | สั่นไหวในท่าที “พานทองแท้ ชินวัตร” ลุ้น 25 พ.ย. ตัดสินคดีเงินกู้กรุงไทย

แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมานานกว่า 10 ปีแล้ว

แต่มหากาพย์คดีการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กลุ่มบริษัทกฤษดามหานครก็ยังไม่จบ

เรื่องราวยังวกวนอยู่กับตัวละครตัวเดิมๆ ชื่อเดิมๆ อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” โอ๊ค “พานทองแท้ ชินวัตร” “อุตตม สาวนายน” ฯลฯ

มีเรื่องให้ถูกหยิบยกขึ้นมาฟ้องร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทำให้ต้องพิจารณาคดีครั้งแล้วครั้งเล่า

ราวกับจะไม่มีวันจบสิ้น

ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง “โอ๊ค พานทองแท้” ถึงคิวขึ้นศาลเป็นครั้งแรกในคดีดังกล่าว

เนื่องจากศาลนัดไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้าย ในคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “นายพานทองแท้” ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9, 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91

โดย “นายพานทองแท้” รับโอนเงินเป็นเช็คจำนวน 10 ล้านบาทเข้าบัญชี มีการกล่าวหาว่าเงินนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำจากการทุจริตปล่อยกู้สินเชื่อระหว่างธนาคารกรุงไทย กับกลุ่มกฤษดามหานคร

ที่มีนายวิชัย กฤษดาธานนท์ เป็นผู้บริหาร กับนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ เป็นบุตรชายของนายวิชัย และอดีตคณะผู้บริหารธนาคารกรุงไทย

การเดินทางไปขึ้นศาลของ “โอ๊ค” ในคดีดังกล่าว เป็นการไต่สวนพยานในคดีนี้ ประกอบด้วยพยานโจทก์-จำเลย และตัวจำเลย รวมทั้งสิ้น 5 ปาก โดยเป็นเจ้าหน้าที่ ปปง.ที่ตรวจสอบเส้นทางการเงิน, นักธุรกิจ, กลุ่มพนักงานสอบสวนดีเอสไอและตัวจำเลย

โดยในชั้นนี้ศาลกำหนดวันไต่สวนพยานไว้ 3 นัด ระหว่างวันที่ 24-26 กันยายน

ซึ่งการขึ้นศาลครั้งนี้น่าจะสร้างความเครียดให้กับเจ้าตัวไม่น้อย

สังเกตได้จากสีหน้าที่ดูอิดโรย แววตาที่ดูขาดความมั่นใจ และท่าทางเลิ่กลั่กในขณะที่ตอบคำถามสื่อ

จนทำให้เกิดเป็นกระแสทางลบในโซเชียลมีเดียอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ต้องเข้าใจว่า คดีกำลังจะเป็นคดีที่ส่งผลต่อชีวิตของ “นายพานทองแท้” ในอนาคต

ความประหม่าที่เกิด และความกังวลที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

และมีเหตุอันสมควรพอที่จะหยิบยกมาใช้เป็นข้อชี้แจงกลบกระแสลบบนโลกออนไลน์

แต่เชื่อว่ากระแสจากโลกออนไลน์ไม่ได้มีผลให้คนอย่าง “พานทองแท้” ออกอาการ

แต่ผลจากคดีที่ “ตระกูลชินวัตร” หวั่นเกรงต่างหากที่เขย่าหัวใจ “ลูกโอ๊ค”

การเคลื่อนไหวทางการเมืองระยะหลังๆ โดยเฉพาะนับตั้งแต่คดีความเข้าสู่ศาลของครอบครัวชินวัตร สะท้อนนัยยะหลายอย่าง

ไม่ว่าจะการถอยเงียบจากหน้าม่านไปอยู่หลังม่านอย่างเงียบๆ ของ “นายทักษิณ” ก็ดี

การเปลี่ยนมือให้ “คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร” มาคุมการจับเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยก็ดี

การเปลี่ยนแม่ทัพเพื่อไทยเป็น “สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ก็ดี

ล้วนเป็นท่าทีที่สะท้อนการยอมอ่อนข้อให้กับอะไรสักอย่างของตระกูลชินวัตร และอาจพร้อมใส่เกียร์ “ถอย” ได้ทุกเมื่อ

คดีปล่อยกู้กรุงไทยในความรู้สึกนึกคิดของ “โอ๊ค” ไม่ใช่เพียงแค่การต่อสู้กันในกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น

แต่ยังมีนัยยะของการต่อสู้ทางการเมืองรวมอยู่ด้วย

หากรอดก็อยู่ในสนามรบต่อในนาม “ลูกทักษิณ”

แต่หากร่วงคือความสั่นไหวของ “ตระกูลชินวัตร” ในทางการเมืองไทยที่อาจพ่วงไปถึงพรรคใหญ่อย่างเพื่อไทยด้วย

ดังนั้น หลังการขึ้นศาลครั้งแรกของ “โอ๊ค” จึงได้เห็นปรากฏการณ์ความอ่อนแอของเจ้าตัว ที่ถ่ายทอดข้อความโซเชียลว่า #หนักที่สุดในชีวิต, เครียดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน, ใครไม่โดนกับตัวเองไม่รู้หรอก, สู้ได้ผมก็สู้

และถึงจะสู้ไม่ได้ก็จะสู้

หากไล่เรียงสั้นๆ “โอ๊ค” เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีการปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยนี้จากเงิน 10 ล้านบาท ที่ได้มาจาก “รัชฎา กฤษดาธานนท์” เพื่อนสนิทของเจ้าตัว ซึ่งเป็นทายาทคนสำคัญของกลุ่มกฤษดามหานคร

เนื่องจากขณะนั้นเขาทั้งสองมีแพลนที่จะลงทุนทำธุรกิจรถนำเข้ารถซูเปอร์คาร์

แต่เนื่องจากอุปสรรค หรือเหตุติดขัดใดไม่ทราบได้ โปรเจ็กต์ดังกล่าวยังไม่ทันเกิดขึ้น และ “โอ๊ค” ได้ส่งคืนเงิน 10 ล้านบาทดังกล่าวกลับให้เพื่อนซี้

แต่ก็ไม่รอด! ได้มีการรวมนายพานทองแท้เข้าไปในคดีว่านายพานทองแท้อาจเป็นตัวการร่วมกับนายวิชัยในการฟอกเงิน เนื่องจากมีการรับเช็คในชื่อของนายวิชัยมา

โดยในส่วนนี้ ป.ป.ง.ระบุว่า การจ่ายเช็คไม่มีขั้นตอนในส่วนที่นายรัชฎารับเงินจากพ่อมาให้นายพานทองแท้ แปลว่านายพานทองแท้รับเช็คตรงมาจากนายวิชัย

ซึ่งตรงนี้ทำให้มองได้ว่า เงินจำนวน 10 ล้านบาทดังกล่าวเป็นเงินค่าปากถุงหรือไม่

และในเมื่อนายวิชัยจ่ายเงินค่าปากถุงให้นายพานทองแท้ นายพานทองแท้ก็น่าจะผิดในข้อหาฟอกเงินด้วย

นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ยังมีกระแสข่าวแว่วมาว่าจะมีการโยงเอาคดีของ “ลูกโอ๊ค” เชื่อมไปพัวพันอีนุงตุงนังกับคดีของ “พ่อแม้ว” ทักษิณ ชินวัตร กรณีร่วมทุจริตการปล่อยกู้สินเชื่อธนาคารกรุงไทยกับกลุ่มกฤษดามหานคร โดยการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พร้อมความผิดตาม พ.ร.บ.อื่นๆ อีกประมาณ 4 ข้อ

เนื้อหาโดยสรุปคือ คนร้องว่า “ทักษิณ” เป็น “ซูเปอร์บอส” หรือ “บิ๊กบอส” สั่งธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร ซึ่งเมื่อ “พ่อ” เป็นคนสั่งให้ปล่อยกู้ แล้วลูกชายของ “เสี่ยวิชัย” นำเงินมาให้ “โอ๊ค” ลูกชายพ่อ ก็น่าจะมีความผิดสืบเนื่องเป็นเนื้อเดียวกัน

แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นศาลฎีกาฯ ได้มีมติยกฟ้องไปเสียก่อน เหตุเพราะพยานหลักฐานไม่มีน้ำหนักเพียงพอจะรับฟังได้ว่าเป็น “ซูเปอร์บอส” หรือ “บิ๊กบอส” ที่สั่งการผ่าน ร.ท.สุชาย และกรรมการธนาคารกรุงไทยในช่วงเวลานั้นให้อนุมัติปล่อยกู้ให้กฤษดามหานคร คือ “นายทักษิณ”

จากการพูดคุยสอบถามผู้รู้ ทางรอดของ “พานทองแท้” มีอยู่ คือ

1. ศาลเพิ่งตัดสินเมื่อปี 2558 ที่ผ่านมานี้เองว่าการกู้เงินกรุงไทยของกฤษดามหานครนั้นผิด

และ 2. เงิน 10 ล้านบาทก็คืนให้กันไปแล้ว ในขณะนั้นทั้งนายพานทองแท้และนายรัชฎา จัดว่าเป็นลูกของมหาเศรษฐีแถวหน้าของประเทศไทย เงินจำนวน 10 ล้านบาทในสายตาของคนทั่วไปอาจจะมีมูลค่าสูง แต่สำหรับลูกของมหาเศรษฐีสองคน ถามว่าจะฟอกเงินกันด้วยเงินจำนวนเพียง 10 ล้านบาทอย่างนั้นหรือ

นอกจากนี้ มูลฐานฟอกเงินก็ไม่มี หรือแม้แต่การที่พ่อจะเข้าไปใช้อำนาจแทรกแซงในการปล่อยเงินกู้ก็ไม่มีด้วย

ช่องทางเดียวที่จะทำให้พ้นผิดได้คือ ศาลบอกว่าไม่เชื่อว่าจะนำเงิน 10 ล้านบาทดังกล่าวไปประกอบธุรกิจนำเข้ารถซูเปอร์คาร์จริงเท่านั้น

แต่ต่อให้ไม่เชื่อว่าจะนำเงินมาประกอบธุรกิจนำเข้ารถซูเปอร์คาร์จริง ถามว่า “โอ๊ค” จะรู้หรือไม่ว่าเงินนี้มาจากการปล่อยกู้ที่ไม่ถูกต้อง เพราะศาลก็เพิ่งมีคำตัดสินออกมาว่าการปล่อยกู้ไม่ถูกต้องเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง

นี่คือชะตาชีวิตของ “ลูกทักษิณ” กับเงินจำนวน 10 ล้านบาทจากการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย ที่จะชี้ชะตาในวันพิพากษาคดีวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้