ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 ตุลาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
มีเรื่องให้ต้องพูดถึงกันมาก
จากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ณ สำนักงานใหญ่ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ช่วง 21-27 กันยายนที่ผ่านมา โชว์วิสัยทัศน์พัฒนาประเทศไทยในรอบ 5 ปี ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
ด้านการเมือง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลปฏิบัติตามโรดแม็ปครบถ้วน ต่อจากนี้ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าภายใต้รัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ
เป้าหมายคือ ทำให้ไทยเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2579 มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน มีพัฒนาการทางสังคมเป็นธรรมและเท่าเทียมในสิทธิพื้นฐาน เน้นการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายและไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง
แต่ที่เป็นประเด็นร้อนข้ามทวีปมาถึงเมืองไทย
กรณี พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถ้อยแถลงบนเวทีการประชุมเต็มคณะระดับสูง ว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (High-level Meeting on Universal Health Coverage) ให้ผู้นำทั่วโลกรับฟังถึงความสำเร็จของไทย
ที่สามารถดำเนินโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ครอบคลุมประชากรเกือบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
ทั้งยังระบุความสำเร็จการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพนี้ อยู่บนพื้นฐานความเท่าเทียม ประสิทธิภาพ และการมีส่วนร่วม โดยไทยยินดีเป็นต้นแบบแบ่งปันความรู้ให้ทั่วโลกนำไปปฏิบัติ
ระหว่างออกรายการพบประชาชนผ่านเฟซบุ๊ก พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวย้ำถึงความสำเร็จของการประชุมครั้งนี้ โดยเฉพาะโครงการ 30 บาทที่ได้รับคำชื่นชมมากมาย
“ผมชี้แจงไปว่าเราทำอะไรไปบ้าง เขาก็ทึ่ง แล้วปรบมือให้ผม”
พรรคเพื่อไทยวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างร้อนแรง
เนื่องจากโครงการ 30 บาทที่ พล.อ.ประยุทธ์นำไปอวดบนเวทียูเอ็น คือแนวคิดบุกเบิกของ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ อดีตกลุ่มแพทย์ชนบทและนักกิจกรรมยุค 6 ตุลา ก่อนหน้านี้เคยนำไปเสนอบางรัฐบาล แต่ได้รับการปฏิเสธ
ต่อมาจึงนำไปเสนอพรรคไทยรักไทย นายทักษิณ ชินวัตร รับไปดำเนินการจนประสบความสำเร็จ เป็นผลงานชิ้นโบแดงที่คนจำได้ถึงทุกวันนี้
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ยอมรับว่าอดีตนายกฯ “ทักษิณ” คือผู้ริเริ่มโครงการดังกล่าว เป็นคุณูปการที่ทำให้กับประเทศไทย ไม่มีใครลืมได้
เพื่อไทยยังแสดงความเห็นกรณี พล.อ.ประยุทธ์ระบุจะทำให้ไทยเป็นประเทศร่ำรวยในอีก 17 ปีข้างหน้าว่า ด้วยศักยภาพของประเทศและประชาชน สามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นประเทศร่ำรวยได้
แต่หากจะให้เชื่อว่าผู้นำที่นำพาประเทศไปสู่จุดนั้นคือ พล.อ.ประยุทธ์น่ามีคำตอบจาก 5 ปีที่ผ่านมา กับจำนวนคนจนที่เพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านคน เป็น 11.4 ล้านคน และ 14.5 ล้านคน ในปี 2561 จากตัวเลขลงทะเบียน “บัตรคนจน” ของรัฐบาล
“มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จึงเป็นเพียงสโลแกนโฆษณาชวนเชื่อโดยปราศจากข้อเท็จจริงหรือไม่” นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว
อีกหลายเรื่องตกเป็นข่าวโด่งดังในแง่ลบ
เช่น การพูดถึงการแก้ปัญหาน้ำท่วม จ.อุบลราชธานี และการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ให้คนไทยในสหรัฐรับฟังตอนหนึ่งว่า รัฐบาลก็เตรียมที่พักพิงให้ มีห้องแอร์ให้อยู่ ก็ไม่ไป ชอบอยู่บนถนน เพราะคนผ่านไปผ่านมาเยอะดี มีคนมาเยี่ยมบ่อย นี่แหละคนไทย
นายคารม พลพรกลาง ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ กล่าวสวนจากเมืองไทยว่า นายกฯ ไม่ควรพูดถึงชาวบ้านแบบนี้ เป็นการพูดทำลายน้ำใจมาก ลักษณะการพูดเหมือนคนเป็นโรคไม่สนใจใคร นึกจะพูดอะไรก็พูด ไม่สนว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไร หรือจะเข้าใจหรือไม่
กระนั้นก็ตาม ประเด็นที่ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์มากที่สุด
กรณี พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “การเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืนระหว่างประเทศ จากความแข็งแกร่งภายในสังคมไทย” บนเวที Asia Society สั่งสอนประชาชน
เรื่องการใช้เว็บไซต์กูเกิล (Google)
“พวกเรานักบริหารจะเปิดกูเกิลเป็น ส่วนใหญ่ประชาชนจะไม่ค่อยเปิด นั่นแหละทำให้ปัญหามันเกิดขึ้น เพราะเขาไม่เรียนรู้ไง”
คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ มีคนไม่เห็นด้วยมาก โลกโซเชียลล้อเลียน ในทวิตเตอร์มีผู้ใช้แฮชแท็ก #PrayuthGetOut และ #นายกฯ กูเกิล ส่วนหนึ่งตอบโต้และแสดงความคิดเห็นดุเดือด บางส่วนชี้ว่าเป็นคำพูดเหยียดหยามประชาชน
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทวีตข้อความตอบโต้ทัศนะของ พล.อ.ประยุทธ์
“ผมสอนลูกอยู่เสมอ เวลาค้นหาความรู้โดยใช้กูเกิล ต้องระวังความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูลเป็นอย่างยิ่ง แต่นี่คุณประยุทธ์กลับนำเรื่องที่ตัวเองหาข้อมูลจากกูเกิลมาเหยียดหยามประชาชนที่ไม่เปิดกูเกิลว่าเป็นคนไม่เรียนรู้ เป็นพวกมีปัญหา นายกฯ ที่ดีย่อมไม่ดูถูกประชาชน และไม่บริหารประเทศด้วยกูเกิล”
เรื่องทำท่าไม่จบง่าย พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกมาชี้แจงตอบโต้ว่า มีการนำสิ่งที่ตนเองพูดไปตีความ บิดเบือน ตนไม่ได้หมายถึงคนไทยไม่ได้ใช้กูเกิล หรือใช้ไม่เป็น แต่หมายถึงต้องใช้ให้เกิดประโยชน์
“ผมพูดแค่นี้ คนอื่นจะตีความอะไรนักหนา มันทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปกว่าเดิม”
ทั้งยังชี้แจงอีกครั้งในวันถัดมา ยอมรับว่าคนไทยส่วนใหญ่ใช้กูเกิล แต่ไม่ได้ใช้กดดูสิ่งที่เป็นประโยชน์ อย่างเว็บไซต์หน่วยงานราชการก็ไม่เข้าไปดู
ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่าเวทีสมัชชายูเอ็น ไม่มีผลใดๆ ต่อภาวะผู้นำ พล.อ.ประยุทธ์ยังคงโต้กลับสื่อและฝ่ายค้านด้วยวาจาแข็งกระด้างแบบเดิม เช่น
กรณีเริ่มมีคนในสังคมต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ก็ย้อนถามกลับว่า สังคมของกลุ่มไหน ประชาชนกลุ่มไหน หรือพรรคการเมืองไหน ใช่คนทั้งประเทศหรือเปล่า
หรือเมื่อถามถึงกรณีกลุ่มต้านชูป้ายประท้วงที่นิวยอร์ก พล.อ.ประยุทธ์ก็ตอบว่า เรื่องนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพผู้นำเพราะไม่มีใครสนใจ “ต่างประเทศก็ไม่สนใจ ผมก็ไม่สนใจ จะไปสนใจทำไม ผมไปทำในสิ่งที่ดีและคนเขาก็ตอบรับ ต่างชาติก็ตอบรับ ผู้นำประเทศก็ตอบรับ แล้วผมจะไปสนใจทำไม”
ถึงพูดว่าไม่สนใจ แต่กลับมีคนในรัฐบาลและพรรคแกนนำจับแพะชนแกะเรื่องการทำสัญญาว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ในสหรัฐ
แล้วชี้นิ้วไปยังพรรคอนาคตใหม่ว่าอาจอยู่เบื้องหลังป้ายประท้วงดังกล่าว
“ผมเสียใจกับคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์หลายครั้ง เคยคิดว่าท่านจะมีจิตสำนึก แต่สุดท้ายก็เป็นโรคไม่สนใจใคร อยู่ในสภาเวลาพูดเสร็จอารมณ์เสีย พออารมณ์ดีก็มาสวัสดีครับ ผมรักทุกคน นายกฯ จะเป็นแบบนี้ไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องรับฟังคนที่ตำหนิ และพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง” นายคารม พลพรกลาง ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ระบุ
ท่ามกลางสภาวะ “ขาลง” โพลสำรวจการเมืองช่วง 3 เดือนแรกรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” พบคะแนนถดถอยทุกด้าน ในเดือนสิงหาคม จาก 4 เต็ม 10 มาถึงเดือนกันยายน ลดลงมาอยู่ระดับ 3 เต็ม 10 ผลงานนายกฯ 3.92 ผลงานรัฐบาล 3.90
ในเดือนตุลาคม รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำมีศึกอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ รออยู่ รวมถึงการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 นครปฐม ที่อาจมีผลต่อการเปลี่ยนสมการทางการเมือง
ในสถานการณ์อันตราย ผู้นำรัฐบาลสมควรเป็นตัวหลักเรียกความเชื่อมั่น ประคับประคองเรือเหล็ก กอบกู้ความหวังด้านเศรษฐกิจ พลิกฟื้นศรัทธาประชาชน เป็นศูนย์รวมความสมานฉันท์คนในชาติ
แต่กลายเป็นสิ่งที่แสดงออกแต่ละเรื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในสภาและนอกสภา ล้วนซ้ำเติมสถานการณ์ให้ย่ำแย่ลงในทุกมิติ
ก่อนหน้านี้เดือนกันยายน ช่วงรัฐบาลเจอมรสุมหนักๆ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอิสระพรรคหนึ่งสวมบทโหร ทำนายดวงการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ได้ไม่นานเพราะบริวารเป็นพิษ
มาถึงตอนนี้อาจต้องทบทวนคำทำนายใหม่ เพราะ “พิษ” นั้นไม่อยู่ตรงแค่บริวารรายรอบ
แต่ยังกระจายมาจากตัวบุคคลซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจอีกด้วย