ตั้งเป้าหมาย “ทำลายหมายเลข 2” หานักวิ่งทำลายสถิติมาราธอน ที่ไม่มีมนุษย์ในโลกทำได้

พิศณุ นิลกลัด

บิลล์ บาวเวอร์แมน (Bill Bowerman) ผู้ร่วมก่อตั้งไนกี้และเป็นโค้ชวิ่งระดับตำนาน เคยกล่าวไว้ว่า “The real purpose of running isn”t to win a race, it”s to test the limits of the human heart.”

จุดประสงค์ที่แท้จริงของการวิ่งไม่ได้อยู่ที่การชนะการแข่งขัน แต่เป็นการทดสอบขีดจำกัดของหัวใจมนุษย์

คนไทยสมัยนี้นิยมฝึกซ้อมวิ่งเพื่อลงแข่งวิ่งมาราธอน หรือฮาร์ฟมาราธอนกันเยอะ หลายคนบอกว่านอกจากจะวิ่งเพื่อสุขภาพกายแล้ว ยังเป็นการฝึกความเข้มแข็งของจิตใจด้วย

นักวิ่งมาราธอนอาชีพแถวหน้าของโลก จะซ้อมวิ่งสัปดาห์ละประมาณ 160-200 กิโลเมตร

ส่วนนักวิ่งมาราธอนที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะวิ่งเข้าเส้นชัยให้ได้ภายใน 3 ชั่วโมง จะซ้อมวิ่งสัปดาห์ละ 115 กิโลเมตร

สำหรับผู้ที่อยากเข้าแข่งขันวิ่งมาราธอน ผู้สันทัดกรณีแนะนำว่า หากจะมีประสบการณ์ ที่สนุก ท้าทาย ไม่เหนื่อยเจียนตายในการลงแข่งวิ่งมาราธอน ควรจะซ้อมวิ่งให้ได้ประมาณ 65 กิโลเมตรต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 6 เดือน

ระยะทางอย่างเป็นทางการของมาราธอนคือ 42.195 กิโลเมตร หรือ 26.2 ไมล์ ถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่การแข่งขันโอลิมปิกปี 1908 ที่กรุงลอนดอน

เท่าที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีมนุษย์คนใดวิ่งมาราธอนเข้าเส้นชัยภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงได้สำเร็จ

สถิติโลกที่ดีที่สุดในปัจจุบันคือ 2 ชั่วโมง 2 นาที 57 วินาที ทำไว้ในปี 2014 โดย เดนนิส คิเมตโต (Dennis Kimetto) ยอดนักวิ่งมาราธอนชาวเคนยา

การวิ่งมาราธอนเข้าเส้นชัยภายในเวลา 2 ชั่วโมงเศษๆ มีเพียง 1% ของนักวิ่งมาราธอนทั้งโลกที่ทำได้ โดยจะต้องวิ่งให้ได้ประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ส่วนนักวิ่งมาราธอนสมัครเล่นที่ฝีเท้าดี ทำเวลาดีที่สุดประมาณ 3 ชั่วโมงนิดๆ

จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีมนุษย์คนไหนที่วิ่งมาราธอนระยะ 42.195 กิโลเมตร ได้ภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง

ปีนี้ ไนกี้ ได้มีโปรเจ็กต์ชื่อ Breaking 2 หรือ “ทำลายหมายเลข 2” โดยจะพยายามทำให้สุดยอดนักวิ่งมาราธอนของโลกที่ไนกี้คัดเลือกและเตรียมพร้อมอย่างที่สุด วิ่งมาราธอนเข้าเส้นชัยภายในเวลา 2 ชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นภายในต้นปีนี้ ส่วนจะวิ่งที่ไหน ไนกี้ยังไม่บอกสถานที่โดยจะเลือกสถานที่ที่สภาพอากาศและสภาพภูมิศาสตร์เหมาะสมที่สุด ที่จะทำลายสถิติ โดยไนกี้ใช้เวลาเตรียมโปรเจ็กต์ Breaking 2 นานถึง 2 ปี ระดมความคิดของทีมออกแบบรองเท้า, ชุดที่สวมตอนวิ่งมาราธอน, นักวิทยาศาสตร์, นักสถิติ และโค้ชวิ่งมาราธอน

สำหรับยอดนักวิ่งมาราธอน 3 คน ที่ทางไนกี้ได้คัดเลือกที่จะมาช่วยสร้างประวัติศาสตร์วิ่งมาราธอนให้ได้สำเร็จภายใน 2 ชั่วโมง คือ

เอลียูด คิปโชเก (Eliud Kipchoge) ยอดนักวิ่งชาวเคนยา วัย 32 ปี เจ้าของเหรียญทอง วิ่งมาราธอน โอลิมปิก ปี 2016 สถิติวิ่งมาราธอนที่ดีที่สุดของคิปโชเก คือ 2:03:05 ชั่วโมง เป็นสถิติที่เร็วเป็นอันดับ 2 ของโลก

เซอร์เซเนย์ ทาเดเซ (Zersenay Tadese) ยอดนักวิ่งชาวเอริเทรีย วัย 34 ปี เจ้าของเหรียญทองแดง โอลิมปิก วิ่ง 10,000 เมตร ที่กรุงเอเธนส์ ปี 2004

เลลิซ่า เดซิซ่า (Lelisa Desisa) ยอดนักวิ่งชาวเอธิโอเปีย วัย 26 ปี แชมป์ Boston Maraton ปี 2013 และ 2015

 

ความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะวิ่งระยะ 42.195 กิโลเมตร ภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง มีความเป็นไปได้หรือไม่?

เรื่องนี้ ดร.ไมก์ จอยเนอร์ (Mike Joyner) แห่งเมโย คลินิก (Mayo Clinic) ซึ่งเป็นองค์กรด้านบริการสุขภาพระดับแถวหน้าในอเมริกาได้คำนวณถึงสมรรถภาพสูงสุดของสุดยอดนักวิ่งมาราธอน หากวิ่งมาราธอนในสภาพอากาศและภูมิประเทศที่เหมาะต่อการวิ่งมาราธอนมากที่สุด (สภาพอากาศที่เหมาะกับการวิ่งมาราธอนคือ ลมไม่แรง และอากาศเย็น ประมาณ 10-15 องศาเซลเซียส) สามารถทำเวลาได้ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง

โดยเวลาที่ดีที่สุดที่สุดยอดมนุษย์จะทำได้ คือ 1 ชั่วโมง 57 นาที 58 วินาที โดย ดร.ไมก์ จอยเนอร์ ได้คำนวณเวลานี้ไว้เมื่อปี 1991

แต่ก็ยังไม่มียอดนักวิ่งมาราธอนคนไหนทำได้สำเร็จ

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนวิเคราะห์ว่า มนุษย์นั้นเกิดมาเพื่อวิ่งและเป็นการวิ่งระยะไกล เพราะต้องวิ่งล่าจับสิ่งมีชีวิตมาเป็นอาหาร วิ่งหนีการจะถูกจับเป็นเหยื่อจากสัตว์อื่น

แต่ความแตกต่างของการวิ่งของมนุษย์กับการวิ่งของสัตว์ คือ มนุษย์ไม่มีความอึดในการวิ่งโดยธรรมชาติ แต่ต้องเกิดการฝึกฝน

มีคำคมของการวิ่งมาราธอนว่า “Everything you ever wanted to know about yourself, you can learn in 26.2 miles.”

“ทุกสิ่งที่คุณอยากรู้เกี่ยวกับตัวเอง คุณสามารถเรียนรู้ได้ในระยะทาง 26.2 ไมล์” (ซึ่งก็คือระยะเต็มมาราธอน)

เพราะทุกๆ ไมล์ที่วิ่งได้จะรู้สึกเหนื่อยและหนักกว่าไมล์ที่ผ่านมา

ระหว่างวิ่งจะเกิดอารมณ์ท้อ อยากเลิก อยากร้องไห้ แต่ก็ได้คิดว่ายิ่งเหนื่อยมากเท่าไหร่ก็หมายความว่าเส้นชัยใกล้เข้ามาทุกที ซึ่งเปรียบเหมือนกับทุกสิ่งที่ทำในชีวิต กว่าจะสำเร็จได้ต้องฝ่าฟันความยากลำบาก

แต่เมื่อถึงเส้นชัยสำเร็จ ก็จะรู้สึกภูมิใจว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งกว่าที่ตัวเองคิด และพลังที่แท้จริงนั้นอยู่ที่จิตใจที่ไม่ย่อท้อ