ทราย เจริญปุระ | ดีเอ็นเอ เมียและแม่

วันก่อนเจอคำคมของรัฐมนตรีท่านหนึ่งเข้าไป ทำเอาฉันคาใจมาถึงตอนนี้
หนึ่งที่คาใจเพราะท่านเป็นถึงรัฐมนตรีเชียวนะ คิดอะไรแค่นี้จริงๆ เหรอ?
อ่อ, ลืมไป เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้นี่นะ ก็คงเป็นอะไรประมาณนี้แหละ
ฉันผิดเองที่ไปคาดหวัง

ถึงกระนั้นก็ยังแปร่งหู

“สตรีทุกท่านมี DNA ของความเป็นแม่และภรรยา จงหาให้พบและใช้เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม”
อืม…

-ดีเอ็นเอของความเป็นแม่และภรรยา-

สารพันธุกรรมนี่มันมีกำหนดความเป็นแม่ ความเป็นเมีย ความเป็นผัว ความเป็นลูกไว้ด้วยเหรอ?
ช่างเป็นวิทยาศาสตร์เสียจริงๆ

ไอ้เรื่องเป็นแม่เป็นเมีย นอกจากที่รัฐมนตรีพูดขึ้นมาแล้ว ก็ยังบวกกับข่าวดังในช่วงนี้ ที่เป็นเรื่องเศร้าเกี่ยวกับการเสียชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง

เธอเป็นแม่ เป็นเมีย เป็นลูก

และเธอก็ตาย

หลายคนรุมกระหน่ำว่า ก็ในเมื่อเธอเลือกวิถีชีวิตแบบนั้น ก็ต้องเจออะไรแบบนี้ ประหนึ่งว่าทันทีที่ก้าวออกนอกกรอบของความเป็นนางแก้ว ตีนข้างนั้นก็จะพลัดหล่นลงขุมนรกทันที

และนรกขุมนั้น ผู้ลงทัณฑ์โบยตีด้วยคำพูดวิจารณ์ ส่วนมากก็ผู้หญิงด้วยกันนี่ละ

มีคนบอกว่า เพราะเรา (ไม่ใช่ฉัน, แต่หมายถึงเราๆ ทุกคน รวมถึงกรอบความคิดทางสังคม) ตั้งมาตรฐานความน่าจะเป็นของความเป็นสตรีไว้สูงมาก ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แน่นอนว่าในมาตรฐานนี้ย่อมมีทั้งคนที่ทำได้และทำไม่ได้ หรือทำได้แบบไม่ชอบ หรือก็ชอบแต่ทำไม่ได้

การปรับรูป เจียนความคิด สงบพฤติกรรมตนเองนั้นจึงทำให้ผู้หญิงหลายๆ คนมองหาเหยื่อที่ต้อยต่ำกว่า คนที่อดทนไม่ได้ คนที่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ ‘ผู้หญิงดีๆ เขาไม่ทำกัน’ เอาไว้วัดค่า
ว่าเห็นไหมพวกเธอ, ถ้าทำไม่ได้ก็จะมีอันเป็นไปต่างๆ เหล่านี้

เพราะใจมันตั้งธงไปเสียแล้ว, ว่าฉันทำได้ ทำไมเธอทำไม่ได้

ฉันยังเลี้ยงลูกได้ ไม่เห็นต้องรับงานไปดื่มกับใคร
ฉันยังอดทนได้ แม้ผัวจะนอกลู่นอกทาง
ฉันยังอยู่ได้ แม้จะไม่เคยได้รับความสุขทางเพศเลย

ดังนั้น หากจะสมาทานความคิดของท่านรัฐมนตรีแล้ว ความเป็นเมียเป็นแม่นั้นก็ไม่ใช่จะเป็นเมียแบบไหนหรือแม่ตามใจได้

แต่ต้องเป็นเมียในอุดมคติที่หุงหาอาหาร กินก่อนนอนทีหลัง สวยสดงดงาม และดูแลสารพัดเรื่องในบ้านได้ราวกับเสกปิ๊งขึ้นมา

หรือมีลีลาเด็ดดั่งนางเอกหนังโป๊บนเตียงขณะประกอบกามกิจ

และเมื่อผู้ชายเสร็จสม นางเอกหนังโป๊นั่นก็ต้องแปลงเป็นแม่บ้าน เด้งตัวขึ้นมาทำความสะอาดไม่ให้เครื่องนอนเลอะเทอะสารคัดหลั่งจากร่างกาย

ซมซานหอบเอาทิชชู่หรือผ้าเช็ดตัวมาทำความสะอาดให้เรียบร้อย ไม่ใช่มานอนเลื้อยเปลือยกายซบอกผัวและชวนพูดคุยได้อย่างในหนัง

แต่ต้องเป็นแม่ที่ไม่สติแตกเวลาลูกงี่เง่า เป็นแม่ที่ปั๊มนมครืดคราดในทุกที่ทุกเวลา ห้ามคิดถึงการโบท็อกซ์หน้าระหว่างให้นมบุตร หรือชั้นแต่จะทาลิปมันซักอันก็หาแล้วหาอีกว่ามันปลอดจากสารอันตรายมั้ย
ต้องเป็นแม่ที่ว่างไปทำกิจกรรมโรงเรียนกับลูกได้ทุกกิจกรรม

ตอบไลน์กลุ่มผู้ปกครอง และสอนลูกทำการบ้านได้
พ้นไปจากนี้เขาก็ไม่นับอีก ว่าเป็นเมียและแม่แบบมีคุณค่า

เอาจริงๆ ช่วงนี้ฉันอ่านหนังสือหรือเพจความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กเยอะขึ้น เพราะมีหลาน และพบว่า หลายๆ อย่างในการวางวินัย หรือปูทางให้เด็ก ก็เหมาะใช้กับความเป็นผู้ใหญ่ไม่น้อย

แต่กับผู้ใหญ่ไม่ยักจะมีใครมานำทางให้แบบนี้

มีทีก็เป็นโค้ชชีวิต น้ำเต็มแก้ว ยอดเขาไม่สูงถ้าคุณตะกายทุกวันอะไรอย่างนั้นไปเลย ซึ่งประโยชน์ของอะไรพวกนี้มีแค่เอาไว้ให้ฉันคัดเพื่อนว่าคนแนวไหนจะไปกันได้ พอๆ กับคนที่เชื่ออะไรแบบนี้ก็คงคัดฉันออกจากความเป็นเพื่อนเหมือนกัน

หลายๆ ทีที่ฉันแชร์บทความเหล่านี้ออกไป ก็จะต้องมีคำถามตามมา ว่าไม่คิดมีลูกเหรอ
อย่าไปถึงเรื่องลูกเลย แค่เป็นเมียฉันก็ไม่เอาแล้ว

ไม่ใช่ฉันจะเป็นรูปชี ถือศีลละกามกิจทั้งหลายหรอก
แต่แค่เอากันมันไม่ได้นับเป็นเมีย

การเป็นเมียในแบบของฉันนั้นไม่ได้วัดกันที่กิจกรรมทางเพศ ไม่ได้หมายความว่าฉันกับคู่รักที่มีกิจกรรมทางเพศกันโดยไม่เปลี่ยนคนเป็นระยะเวลาหนึ่ง จะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘เมีย’ หรือ ‘ผัว’ ได้ทันทีตามความเข้าใจของคนทั่วไป

ฉันไม่คิดปรนนิบัติพัดวีหรือจัดการเรื่องเงินทองของเขา พอๆ กับที่เขาไม่ต้องมาหาเลี้ยงฉัน
และฉันก็ไม่คิดมีลูก ไม่เคย ไม่คิด ไม่อยาก

หลายคนบอกว่าต้องลอง ต้องมีสิ มีแล้วก็เลี้ยงได้
ก็ได้แหละ เด็กน่ะจับตั้งไว้เฉยๆ ตั้งข้าวตั้งน้ำไว้ให้เขาก็โตได้
แต่คำว่าเลี้ยงได้มันไม่ได้หมายความเพียงแค่นี้

ยิ่งพวกบอกให้ลองมีนี่ยิ่งประหลาด ของแบบนี้มันลองกันได้ด้วยเหรอ เกิดฉันบ้าจี้ริจะลองขึ้นมา คลอดลูกได้ซักสองเดือนแล้วเกิดเบื่อจะจับยัดคืนไปทางไหนกันเล่า
ฉันรู้ว่าฉันไม่อยากมีลูก เหมือนกับที่รู้ว่าเฮโรอีนไม่ดีน่ะ
ของแบบนี้ไม่ต้องลองก็รู้ได้

แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่ใส่ใจในสิทธิเด็ก หรือสิทธิของสตรีผู้เป็นแม่เป็นเมีย
การไม่ได้เป็นแม่หรือเมีย ไม่ได้ทำให้มดลูกฉันฝ่อ ไม่ได้ทำให้ฮอร์โมนเพศฉันลด
และไม่เกี่ยวกับดีเอ็นเออะไรเลย

พูดมาทั้งหมดก็เพื่อจะบอกว่า, ฉันอ่านหนังสือจิตวิทยาเด็กเล่มนี้จบแล้ว
เป็นหนังสือที่น่าสนใจมาก

เพราะทำให้ฉันรู้ว่าเด็กมีพัฒนาการได้มากขนาดไหนในการดูแลแบบหนึ่ง และจะถดถอยได้มากขนาดไหนกับการดูแลอีกแบบ

ซึ่งไม่เกี่ยวกับความน่าจะเป็นของแม่หรือของเมียอะไร

อ้อ, ที่ดีอีกอย่างของเล่มนี้คือ มันยืนยันว่าฉันคิดถูกแล้ว ว่าคนอย่างฉันไม่เหมาะกับการมีลูก
ช่างไร้ดีเอ็นเอเป็นแม่เป็นเมีย

ช่างไม่ใช่นางในอุดมคติของท่านรัฐมนตรีเอาเสียเลย

“จิตวิทยาเด็ก” (Child Psychology) เขียนโดย Usha Goswami แปลโดย สุภลัคน์ ลวดลาย และ วรัญญู กองชัยมงคล ฉบับพิมพ์ครั้งแรก โดยสำนักพิมพ์ bookscape, มีนาคม 2562