ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 กันยายน - 3 ตุลาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | Cool Tech |
ผู้เขียน | จิตต์สุภา ฉิน |
เผยแพร่ |
ถึงแม้ว่ารถไร้คนขับจะฟังดูห่างไกลจากตัวเรามาก
และไม่ว่าจะคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่ารถไร้คนขับจะมาขับเคลื่อนตัวเองอยู่บนถนนหนทางในประเทศไทยที่เต็มไปด้วยปัจจัยที่คาดเดาไม่ได้ยุ่บยั่บมากมายเต็มไปหมดได้อย่างไร
แต่รถไร้คนขับก็ดูจะเป็นอนาคตที่มาถึงแน่นอนชนิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ท้ายที่สุดอาจจะมาถึงเราช้ากว่าชาวบ้านเขา แต่ถึงเราจะไม่ได้นั่ง ลูก-หลานของเราก็อาจจะใช้ชีวิตบนท้องถนนปะปนกับรถไร้คนขับจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปสักวันหนึ่ง
สิ่งที่น่าสนใจคือ แต่ละเจเนอเรชั่นมองรถไร้คนขับไม่เหมือนกัน
ผลการศึกษาผู้ขับรถชาวอังกฤษกว่า 1,000 คนพบว่าผู้ขับรถที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นตื่นเต้น รอคอย และสนับสนุนการมาถึงของรถไร้คนขับเต็มที่
ในขณะที่กลุ่มคนที่สูงวัยกว่านั้นนอกจากจะไม่รอคอยแล้วยังออกจะรู้สึกต่อต้านรถไร้คนขับด้วยซ้ำ
การศึกษาครั้งนี้พบว่า 81 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มผู้ขับรถในวัย 18-24 ปีอยากได้รถไร้คนขับ
หนึ่งในสามยอมรับว่า ที่อยากได้รถไร้คนขับก็เพราะตัวเองไม่ชอบขับรถเอาเสียเลย
ในขณะที่กลุ่มผู้ขับรถในวัยผู้ใหญ่กว่านั้นคือช่วงอายุ 55-64 ปี มีมากถึง 83 เปอร์เซ็นต์ที่ต่อต้านเทคโนโลยีรถไร้คนขับ
ส่วนสาเหตุก็พอเข้าใจได้ คนกลุ่มนี้รู้สึกไม่ไว้ใจรถไร้คนขับและไม่เชื่อว่ามันจะปลอดภัยจริงค่ะ
ถ้าแยกกลุ่มคนที่สอบถามออกเป็นเพศหญิงและเพศชายก็จะพบว่าผู้ชายเปิดรับรถไร้คนขับมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย
เกือบสองในสามของกลุ่มผู้ชายบอกว่าอยากจะเป็นเจ้าของรถไร้คนขับสักคัน
แต่โดยรวมแล้วครึ่งหนึ่งของคนทั้งหมดบอกว่าชอบไอเดียของรถไร้คนขับและบางส่วนก็เชื่อว่านี่จะทำให้การเดินทางในอนาคตง่ายขึ้นและจะช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ด้วย
กลับมาที่กลุ่มคนที่บอกว่าต่อต้านรถไร้คนขับเพราะไม่เชื่อว่ารถที่ขับตัวเองได้ด้วยเทคโนโลยีจะปลอดภัยอะไรขนาดนั้น
กลุ่มคนนี้บอกว่า พวกเขาไม่อยากสูญเสียความสามารถที่จะควบคุมรถด้วยตัวเอง และไม่รู้สึกเชื่อมั่นเลยที่จะฝากชีวิตไว้กับคอมพิวเตอร์
ก็น่าจะหมายความว่าถ้าหากจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาในระหว่างขับรถ พวกเขาขอเป็นคนกุมชะตาชีวิตและบังคับพวงมาลัยด้วยตัวเอง ตัดสินใจในเสี้ยววินาทีนั้นด้วยตัวเองมากกว่าจะปล่อยให้รถจัดการ
ข่าวดีสำหรับกลุ่มคนที่ไม่ได้เชื่อมั่นในรถไร้คนขับขนาดนั้นก็คือ หากดูจากสถานการณ์ปัจจุบันและข้อมูลทั้งหลายที่มีอยู่แล้วเราน่าจะสามารถคาดการณ์ได้ว่าเมื่ออนาคตรถยนต์ไร้คนขับมาถึง
ภาพที่เราคิดไว้ในหัว กับสิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงก็น่าจะแตกต่างกันพอสมควรค่ะ
ภาพที่เราคิดไว้ก็คือ เราทุกคนจะมีรถไร้คนขับเป็นของตัวเอง ก่อนออกจากบ้านเราก็แค่กระโดดขึ้นไปนั่งบนรถ กางคอมพิวเตอร์มาทำงาน จิบกาแฟไปด้วย
หรือบ้านไหนมีลูกก็อาจจะให้ลูกนั่งกินอาหารเช้าอยู่บนรถ (หรือต้องคอยห้ามลูกไม่ให้ทะเลาะกันสำหรับใครที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคน)
เมื่อถึงที่หมาย รถส่งเราเสร็จปุ๊บก็ขับออกไปจอดตัวเองแล้วค่อยกลับมารับเราใหม่ตอนจบวัน
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงอาจจะไม่ใช่แบบนั้นเลยก็ได้
สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้อนาคตรถไร้คนขับไม่เหมือนที่เราคิดไว้ก็คือความเป็นจริงที่ว่าเราน่าจะไม่สามารถซื้อมันมาเป็นเจ้าของได้ง่ายๆ ค่ะ
ด้วยความที่รถไร้คนขับใช้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์และประมวลผลที่มีราคาสูง เฉพาะตัวเซ็นเซอร์อย่างเดียวก็อาจจะแพงกว่าราคาของรถยนต์ทั้งคันเข้าไปแล้ว
การจะซื้อมาเป็นเจ้าของน่าจะทำได้ยากกว่าที่คิดมาก
อีกอย่างก็คือ รถไร้คนขับในอนาคตมีแนวโน้มที่จะต้องวิ่งเฉพาะบริเวณที่บริษัทเทคโนโลยีออกแบบไว้เท่านั้น
เนื่องจากมันไม่ได้เหมาะที่จะใช้กับทุกสภาพถนน
ดังนั้น เส้นทางการวิ่งก็จะครอบคลุมเฉพาะบางพื้นที่
ทั้งสองปัจจัยนี้รวมกันก็พอจะทำให้คาดเดาได้ว่ารถไร้คนขับจะเป็นรถที่เราแต่ละคน “ใช้งานร่วมกัน” ไม่ใช่ต่างคนต่างซื้อ
รูปแบบที่จะเกิดขึ้นก็จะคล้ายๆ กับรถแท็กซี่ หรือรถแกร็บที่เราใช้แอพพลิเคชั่นเรียกกันทุกวันนี้แต่เป็นไปในรูปแบบแชร์ที่ทุกคนร่วมทางไปด้วยกัน
มันจะมารับเราถึงที่ และรับคนอื่นไปด้วยในระหว่างทาง ซึ่งคอนเซ็ปต์นี้ก็คือสิ่งที่เราเรียกว่า “โรโบแท็กซี่” นั่นเอง
การนำรถไร้คนขับมาให้บริการรับ-ส่งหลายๆ คน และวิ่งหารายได้ได้ตลอดเวลาแบบไม่ต้องจอดพักเฉยๆ ก็จะทำให้ต้นทุนน้อยลง
คนจะเข้าถึงรถไร้คนขับได้มากขึ้น
แล้วจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ที่ใกล้ตัวที่สุดเลยก็คือดีไซน์ของรถค่ะ
รถไร้คนขับไม่จำเป็นต้องมีการตกแต่งภายในเหมือนรถที่เราขับกันทุกวันนี้ มันไม่จำเป็นต้องมีพวงมาลัย เบรก หรือคันเร่งอีกต่อไป
ดังนั้น รถไร้คนขับก็อาจจะมีดีไซน์เป็นห้องขนาดเล็ก มีเก้าอี้ให้เรานั่งก็พอแล้ว เพราะในฐานะผู้โดยสารเราก็ต้องการแค่นี้จริงไหมคะ
ธุรกิจรอบด้านที่เกี่ยวข้องก็จะต้องเปลี่ยนไปด้วย ตอนนี้เราแบ่งที่ดินจำนวนไม่น้อยให้กับการจอดรถเอาไว้เฉยๆ
เมื่อรถไร้คนขับมาถึงและมันสามารถวิ่งไปกลับรับ-ส่งคนได้ตลอดเวลาเพราะมันไม่ใช่ของเราคนเดียวอีกต่อไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องจอดอยู่เฉยๆ มากเท่าเดิม
ที่จอดรถก็จะสามารถถูกเปลี่ยนไปใช้งานอย่างอื่น ตามสไตล์บ้านเราก็อาจจะเอาที่จอดรถไปทำห้างสรรพสินค้า แต่เมืองอื่นๆ ก็อาจจะนำเอาที่ดินว่างเหล่านั้นไปทำที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงให้ประชาชน ก็เป็นการนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเดิม
เงินที่เราเคยต้องจับจ่ายใช้สอยไปกับการซื้อรถ ดูแลรถ จ่ายค่าภาษีรถ ฯลฯ ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
คนจะซื้อรถกันน้อยลงมาก มีเงินเก็บมากขึ้น ในขณะที่ก็ยังเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกสบาย
แต่ต่อให้อนาคตของรถไร้คนขับเป็นรถที่เราจะแชร์ใช้ไปด้วยกัน
ก็จะยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่จะซื้อรถยนต์ประเภทที่ตัวเองเป็นคนขับเองอยู่ดี
อาจจะเพราะโหยหาความรู้สึกของการได้ขับรถด้วยตัวเอง
หรืออยากได้ความเป็นส่วนตัวในระหว่างโดยสาร
แต่โดยรวมแล้วคนจะซื้อรถน้อยลงมากกว่าครึ่ง เศรษฐีก็จะหาซื้อรถไร้คนขับมาเป็นของตัวเอง เพราะต่อให้แพงแค่ไหนแต่ก็ไม่เกินความสามารถในการซื้อหาอยู่แล้ว
สำหรับคนทั่วๆ ไป นี่ถือเป็นข่าวดีนะคะ เมื่อมีการจัดสรรรูปแบบรถไร้คนขับให้ทุกคนสามารถใช้ร่วมกันได้
นอกจากจะเป็นการประหยัดทรัพยากรโลกแล้ว
ก็จะยังเป็นการการันตีว่าเราทุกคนจะสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้แม้ว่าเราจะมีเงินในกระเป๋าแตกต่างกันแค่ไหนก็ตาม