บทวิเคราะห์ | ส่องเหล็กไหล พระเครื่อง เว่อร์ พันล้าน ความเชื่อ หรือวาระซ่อนเร้น?

การเปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้แทนราษฎรไทยในชุดแรกสร้างเสียงฮือฮาหลายกรณีเช่นกรณี เสี่ยแป้งมัน – “วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล” ที่ติดหนี้ถึงหมื่นล้าน หรือกรณี ส.ส.จนสุด มีเงินในบัญชีแค่ 5,000 บาท อยู่บ้านแม่ รถยนต์ยืมเพื่อน ส.ส.มีภรรยามากกว่า 1 คน หรือจะเป็นกรณีดราม่า หลายคนที่ยังเป็นหนี้ กยศ.อยู่

ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ป.ป.ช.ได้ฤกษ์เปิดบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ ส.ส.ชุด 2 จำนวน 80 ราย

โดดเด่นสุดคงต้องยกให้ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่รวยสุดในบรรดา ส.ส. มีทรัพย์สินทั้งสิ้นถึง 5.6 พันล้านบาท

แต่ก็มีกรณีแปลกประหลาดที่ไม่ค่อยเคยได้ยินมาก่อน อย่างกรณีการแจ้งทรัพย์สินคือหนังสือที่มีสะสมไว้ ทั้งนายปิยบุตร แสงกนกกุล และนายธนาธรเอง ที่แจ้งว่ามีหนังสือมากกว่า 2,000-2,500 เล่ม มูลค่ามากกว่าล้าน

หรือกรณีนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ที่แจ้งบัญชีทรัพย์สิน พร้อมเมีย 2 คน มูลค่าทรัพย์สินกว่า 200 ล้าน แต่เมื่อเจาะจงเข้าไปในตัวทรัพย์สิน พบว่ามูลค่าส่วนใหญ่กลายเป็นทรัพย์สินอื่น คือมูลค่าของของขลัง-พระเครื่อง กว่า 150 ล้าน


ที่ฮือฮาที่สุดคือ นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังไทยรักไทย ที่แจ้งว่ามีทรัพย์สินทั้งหมด 1,112,531,135 บาท น่าสนใจเพราะว่ามูลค่าที่มากสุด กลับไม่ใช่เงินในบัญชี หรือบ้านหรือที่ดิน แต่ดันไปในอยู่ในหมวดทรัพย์สินอื่นถึง 1.1 พันล้านบาท โดยเป็นวัตถุมงคลทั้ง 10 รายการ

เจาะไปดูรายละเอียด สิ่งที่มูลค่าสูงสุด อ้างว่ามีมูลค่าถึง 700 ล้านบาท ระบุว่าคือเหล็กไหลช่อ หรือโคตรเหล็กไหล รองลงมาคือ เหล็กไหลก้อน หรือมหาเหล็กไหล มีมูลค่า 300 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีก้อนอุกกาบาต มูลค่า 10 ล้านบาท

นี่คือกรณีวัตถุแปลกประหลาด

ในส่วนพระเครื่องประกอบด้วย พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์เกศบัวตูม อ้างว่ามีมูลค่า 15 ล้านบาท สมเด็จบางขุนพรหม 5 ล้านบาท พระสมเด็จวัดระฆัง (ผงตะไบทอง) 10 ล้านบาท พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ฐานแซม 15 ล้านบาท พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ (1) 15 ล้านบาท พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ (2) 15 ล้านบาท และพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ (3) 15 ล้านบาท

ด้วยความสงสัย ผู้สื่อข่าวจึงรีบยกหูถามไปที่เจ้าตัว ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร

เจ้าตัวอ้างถึงที่มาของเหล็กไหล 700 ล้านบาท ว่า เกิดขึ้นเมื่อราว 20 ปีก่อน ชาวบ้านไปเจอแล้วเก็บมาให้ อ้างว่าบูชาขออะไรก็ได้ จนคนมาขอพรจำนวนมาก กลายเป็นเหล็กไหลที่มีชื่อเสียง

“ถึงขั้นมีคนที่ชื่นชอบเหล็กไหลจากต่างประเทศมาติดต่อขอซื้อในราคา 700 ล้านบาท แต่ผมไม่ขาย เก็บไว้บูชาที่พรรคพลังไทยรักไทย ที่บ้านสองคอน ต.โนนใหม่ อ.เมืองอำนาจเจริญ พูดไปอาจไม่มีใครเชื่อ ขอให้มาพิสูจน์ให้เห็นกับตา แล้วจะได้รู้ว่ามีอะไรที่ไม่เคยเห็นอยู่จริง” หัวหน้าพรรคพลังไทยรักไทยกล่าวชี้แจงถึงที่มาของมูลค่าดังกล่าว แต่ไม่ได้บอกว่าคนที่เสนอราคานั้นเป็นใคร

วันต่อมาผู้สื่อข่าวภูมิภาคยังบุกไปถึงที่ทำการของพรรค และนายคฑาเทพก็ได้นำผู้สื่อข่าวไปดูเหล็กไหลดังกล่าวอีกด้วย

เรื่องนี้เกิดคำถามขึ้นอย่างมากในสังคม ประเด็นก็คือ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าของดังกล่าวมีมูลค่าตามที่ชี้แจงมาจริง ใช้หลักอะไรในการอ้างอิง มันไม่เหมือนกับที่ดินหรือสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่มีลักษณะคนทั่วไปพอจะรับรู้ หรือพอจะมีราคากลางประเมินบ้าง

นายศรีสุวรรณ จรรยา นักร้องเรียนขาประจำ ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการสร้างมูลค่าลวงขึ้นมาหรือไม่ มีหน่วยงานหรือองค์กรมาตรฐานใดให้ใบรับรองหรือไม่

หรืออาจเป็นกลเล่ห์ฉลของนักการเมืองที่อาจใช้เป็นข้ออ้างในการฟอกเงินเพื่อผ่องถ่ายทรัพย์สินแบบหลอกๆ ไปเป็นเงินสดในอนาคต หากมีเงินสดหรือทรัพย์สินอื่นงอกเงยขึ้นมาเกินกว่ารายรับที่พึงมีในขณะดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็จะใช้เป็นข้ออ้างได้ว่าได้จำหน่ายพระเครื่องหรือวัตถุมงคลดังกล่าวออกไปในราคาแพงตามที่ตั้งมูลค่าไว้ เป็นต้น

เช่นเดียวกับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว. ที่มองว่า สำหรับทรัพย์สินอื่นที่ไร้หลักฐานอ้างอิง ถึงอย่างไร ป.ป.ช.ก็ต้องเข้าไปตรวจสอบ เพราะอาจจะเข้าข่ายมีเจตนาไม่สุจริตหรือไม่ มีเจตนาจะนำไปใช้ในการฟอกเงินในอนาคตหรือไม่

ไม่ได้หมายความว่าคนที่แจ้งทำผิด แต่การแสดงราคาระดับหลายร้อยล้าน พันล้าน ก็ต้องอ้างอิง ระบุให้ชัดว่าใครเป็นคนมาซื้อถึงเสนอเงินจำนวนดังกล่าว

“การจะอ้างอิงพยานบุคคลต้องนำตัวมาประกอบให้ชัดเจน บุคคลดังกล่าวมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ไม่ใช่การอุปโลกน์ขึ้นมาเองว่ามีคนมาขอซื้อ 700 ล้าน 300 ล้าน กรณีนี้เข้าข่ายข้อความอันเป็นเท็จ ยืนยันว่าพิสูจน์ไม่ยากในทางบัญชี เริ่มต้นด้วยคำถามว่าใครเป็นคนมาเสนอซื้อ หรือคุณซื้อต่อมาจากใคร”

นายเรืองไกรระบุ

ผู้สื่อข่าวจึงถามเรื่องนี้ไปยัง ป.ป.ช. นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช.ก็ยังกุมขมับ บอกเพียงว่าต้องตรวจสอบการมีอยู่จริงของทรัพย์สิน

“การตรวจสอบเบื้องต้นคือดูข้อมูลว่าเจ้าของตีมูลค่ามาจากอะไร ตีค่าจากมูลค่าทางจิตใจหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งกรณีนี้สำนักงาน ป.ป.ช.จะต้องจับตาดูเป็นกรณีพิเศษ” เลขาฯ ป.ป.ช.ระบุ

ขณะที่ น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล อดีต ป.ป.ช. ชี้ช่องทางให้ผู้มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้ได้เพราะกฎหมายเอื้ออำนวยไว้แล้ว โดยให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า อำนาจของ ป.ป.ช.ในขณะนี้ไม่เหมือนในอดีต วันนี้ ป.ป.ช.สามารถเข้าไปตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินได้เลย สามารถเข้าไปประเมินราคาทรัพย์สินต่างๆ ที่ยื่นมาเพื่อทักท้วงไว้ก่อนว่าเกินจริงหรือไม่

เช่นเดียวกับนายวิชา มหาคุณ อดีต ป.ป.ช. ที่มองว่า สิ่งสำคัญคือ ป.ป.ช.ต้องประเมินก่อนเป็นอันดับแรก ป.ป.ช.ต้องหาข้อมูลว่าได้มาจากแหล่งใด การกล่าวอ้างเฉยๆ ก็อาจจะมีปัญหาเหมือนกัน

“ผู้ใดครอบครองสิ่งใดไว้ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ ถ้าต้องการเอาสิ่งนั้นมายื่นอยู่ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ไม่ว่าท่านจะได้อะไรมาก็ตาม ต้องพิสูจน์ความมีมูลค่าของมันให้ได้ด้วย อย่าคิดว่าเอาแต่มาแจ้งอย่างเดียว” นายวิชากล่าวยืนยันถึงความสำคัญ

ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวสนับสนุนนายวิชาว่า พูดถูก พร้อมยืนยันว่าจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีราคาดังกล่าวจริง และหากพิสูจน์ไม่ได้ ก็จะมีความผิดทางกฎหมาย ป.ป.ช.

ในมุมวิชาการก็เสนอได้น่าสนใจ รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชระบุว่า เรื่องนี้ต้องเคลียร์ให้ชัด ควรเรียกบรรดาผู้เชี่ยวชาญ เช่น คนในวงการพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง มาสืบหาข้อเท็จจริงว่าของเหล่านี้ในตลาดขายกันราคาเท่าไหร่ กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด้านปฐพีวิทยา มาสืบถามเรื่องมูลค่าของอุกกาบาตเทียบเคียงกับในต่างประเทศ ความยากง่ายในการหาซื้อ ต้องมีกระบวนการสืบหาข้อเท็จจริง และได้ข้อสรุปออกมา

แต่ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ป.ป.ช.สามารถสะสมหรือจัดการความรู้ตรงนี้ได้ จะมีฐานข้อมูลสะสม หากอนาคตมีกรณีเดียวกัน จะเป็นบรรทัดฐานในการอ้างอิงได้

สําหรับนายคฑาเทพ เป็น ส.ส.พรรคพลังไทยรักไทยเพียงคนเดียวของพรรค และมีมติเข้าร่วมกับรัฐบาล โดยเมื่อไม่นานมานี้ เลขาธิการพรรคนำทีมยื่นร้องต่อ กกต. ขอให้ กกต.ถอดถอนหัวหน้าพรรคพลังไทยรักไทย โดยกล่าวหาว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง ระบุทำนองจะให้เงินแก่ผู้ใหญ่คนหนึ่งจำนวน 1 ล้านบาท หากได้ร่วมรัฐบาล

นอกจากนี้ ล่าสุดยังงานเข้า เจอเพจ CSI LA และนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.ออกมาชี้เป้าว่านายคฑาเทพน่าจะมีปัญหาเรื่องวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาเอก 2 ใบหรือไม่ จากการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของมหาวิทยาลัยที่อ้างว่าจบการศึกษา แต่ตรวจสอบแล้วพบไม่ได้รับการรับรอง

นายสมชัยถึงขนาดทิ้งท้ายว่า “คนที่อยู่อันดับสองในบัญชีรายชื่อเตรียมตัวเข้าสภาได้เลยครับ”

เรื่องเก่ายังไม่ทันไรก็มีเรื่องใหม่เข้ามา ไม่รู้ว่าเหล็กไหลพันล้านจะช่วยได้หรือไม่ เรียกได้ว่าซวยจริงๆ

แต่ก็คงต้องรอกระบวนการสอบสวนต่อไป