ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | อนาคตใหม่ไม่มีทางถูกยุบ เหมือนไทยรักษาชาติและไทยรักไทย

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชอบพูดว่าอยากให้คนไทยหยุดทะเลาะกัน

แต่ห้าปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์คือหนึ่งในคนที่ทำให้คนในประเทศขัดแย้งกันมากที่สุด

เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่ท่านไม่ใช้ตำแหน่งสาธารณะโจมตีฝ่ายตรงข้ามโดยใส่ร้ายป้ายสี, ให้ข้อมูลเท็จ, ด่าลับหลัง ฯลฯ สุดแท้แต่โอกาสและสถานการณ์จะเอื้ออำนวย

เอาเฉพาะเท่าที่เพิ่งผ่านไป พล.อ.ประยุทธ์พกเอกสาร “ขบวนการทำร้ายประเทศ” เข้าสภาให้นักข่าวเห็นจนเกิดคำถามว่าท่านหมายถึงใครดังระงมไปทั่ว จากนั้นท่านก็ไปดูน้ำท่วมที่อุบลฯ แล้วโจมตีว่า ส.ส.เพื่อไทยไม่ทำอะไร แล้วพอไปอเมริกาก็โอดครวญว่าอยู่ไทยมีแต่คนเกลียดจนไปไหนก็กลัวโดนชกตลอดเวลา

ในโลกที่ พล.อ.ประยุทธ์เห็นจนทำให้ท่านพูดและทำอย่างที่ท่านเป็น คนกลุ่มที่ท่านทึกทักว่าเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” คือคนที่ถูกท่านกล่าวหาต่อว่าทำลายชาติจนพร้อมจะทำร้ายท่านไม่มีสิ้นสุด

ต่อให้ที่จริงคนเหล่านี้เป็นเพียงประชาชน, ส.ส.ที่สั่งข้าราชการไม่ได้ และพรรคการเมืองที่ไม่มีอำนาจบริหารเท่านั้นเอง

พฤติกรรมของ พล.อ.ประยุทธ์สะท้อนการมองโลกแบบขาวจัดดำและแบ่งเขาแบ่งเรา ใครไม่ใช่พวกท่านจึงเท่ากับเป็นศัตรูกับท่าน

ผลก็คือ คนที่ไม่เห็นด้วยกับท่านกลายเป็นเป้าหมายที่ท่านมุ่งกำจัดหรือกดดันให้ศิโรราบแบบคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน, คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, อดีต ส.ส.เพื่อไทย รวมทั้งคนอยากเลือกตั้งที่ถูกดำเนินคดีหลายร้อยคน

ในเวลาที่ไม่มีเลือกตั้งจนคุณประยุทธ์ตั้งตัวเองราวเจ้าผู้ปกครองในหนังสือ The Prince

วิธีคิดแบบนี้ทำให้คุณประยุทธ์เขียนกฎหมายและใช้กฎหมายตามอำเภอใจ

แต่ในเวลาที่ต้องยอมให้มีการเลือกตั้งและสภา วิธีคิดแบบนี้ทำให้คุณประยุทธ์ทำตัวเหนือการบังคับกฎหมาย และใช้กฎหมายเล่นงานฝ่ายตรงข้ามทุกวิถีทาง

ห้าปีใต้กระบอกปืนของ พล.อ.ประยุทธ์ คือห้าปีแห่งการใช้กฎหมายเพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้ามจนน่าอดสู

และถึงแม้ช่วงเปิดประชุมสภาผู้แทนฯ จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ชะลอพฤติกรรมนี้เพราะกลัวถูกวิจารณ์ คุณประยุทธ์ก็กลับมาโจมตีฝ่ายตรงข้ามทันที่ปิดสภาในแบบที่ไม่ต่างจากยุคที่ไม่มีเลือกตั้งเลย

คุณประยุทธ์แสดงให้เห็นมาครึ่งทศวรรษถึงความจงชังต่อคุณทักษิณ ชินวัตร, คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, พรรคเพื่อไทย, คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส, นปช., นักวิชาการ ฯลฯ และเมื่อการปิดสภาทำให้คนกลุ่มนี้สูญเสียพื้นที่ในการสื่อสารกับสังคมอย่างมีนัยยะสำคัญ คุณประยุทธ์ก็ฉวยโอกาสบดขยี้โดยไม่รั้งรอ

คู่ขนานไปกับนายกฯ ที่ใช้มุสาวาจาโจมตีคนที่ตัวเองเห็นเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” ราวคนที่ไม่รู้ว่าหิริโอตตัปปะคืออะไร รัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์ 2 ก็เดินหน้าดูด ส.ส.จากพรรคฝ่ายค้านอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย

มิหนำซ้ำรองนายกฯ ที่เป็นพี่ใหญ่ของคุณประยุทธ์ยังให้ท้ายพฤติกรรมที่มอง ส.ส.ไม่ต่างจากโสเภณีการเมือง

ขณะที่พรรคซึ่งมี ส.ส.มากที่สุดในประเทศเผชิญชะตากรรมอย่างที่กล่าวไป พรรคซึ่งร้อนแรงที่สุดในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดอย่างอนาคตใหม่ก็ถูกผู้มีอำนาจคุกคามดุจเดียวกันด้วย เพราะอยู่ดีๆ กระแสข่าวเรื่องยุบอนาคตใหม่ก็ถูกปั่นขึ้นมาโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ เพียงแต่คราวนี้มีประเด็นที่ขยายความกว่าที่ผ่านมา

อนาคตใหม่ถูกผู้มีอำนาจและเครือข่ายตั้งแต่สื่อ, พรรคการเมือง, วุฒิสมาชิก, ส.ส.ติงต๊อง, แกนนำม็อบล้มเลือกตั้ง, หน่วยข่าวทหาร ฯลฯ โจมตีด้วยเรื่องสามสถาบันหลักที่หนักหน่วงจนปัจจุบัน ความพยายามทำลายอนาคตใหม่จึงทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าพรรคต้องถูกยุบแน่ๆ ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าด้วยเรื่องอะไร

จริงอยู่ว่าธนาธรและปิยบุตร แสงกนกกุล โดนตั้งข้อหาฉกรรจ์ แต่ข้อเท็จจริงทางกฎหมายคือความคืบหน้าในการพิจารณาข้อหาเหล่านี้มีน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือวัตถุแห่งข้อกล่าวหาล้วนอ่อนจนวิญญูชนย่อมเห็นเป็นการกลั่นแกล้งทั้งสิ้น แต่เหนืออื่นใดคือการเอาผิดสองคนนี้ได้ก็ไม่ได้นำไปสู่การยุบพรรคแต่อย่างใด

แม้สองผู้นำของอนาคตใหม่จะถูกเล่นงานด้วยข้อหาอย่างปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบ, หมิ่นศาล และนำเข้าข้อมูลเท็จในระบบคอมพิวเตอร์

ปลายทางของการลงโทษล้วนได้แก่ตัวบุคคลผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น การยัดข้อหาและดำเนินคดีจนธนาธรกับปิยะบุตรติดคุกนั้นไม่ใช่เหตุให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ได้แม้แต่นิดเดียว

ผู้มีอำนาจซึ่งเขลาและดูถูกประชาชนนั้นอาจคิดว่ายุทธวิธี “เด็ดหัว” จะทำให้พรรคอนาคตใหม่ล่มสลายไป

แต่บทเรียนจากการ “เด็ดหัว” กรณีทักษิณ / ยิ่งลักษณ์ / จตุพร / ไทยรักษาชาติ ชี้ว่าหัวที่หายไปนั้นมีหน่อใหม่ซึ่งจะแตกยอดขึ้นมาแทนที่ไม่รู้จบ ไม่ต้องพูดว่าอนาคตใหม่ตอนนี้คือ “จิตวิญญาณ” มากกว่าบุคคล

แน่นอนว่าอนาคตใหม่คงระส่ำระสาย หากการ “เด็ดหัว” ประสบความสำเร็จจริงๆ แต่ด้วยเหตุที่เงื่อนไขทางกฎหมายของเรื่องนี้ไม่มีทางทำได้

ความรู้สึกว่าจะมีการ “เด็ดหัว” จึงเป็นผลจากการขู่ให้ผู้คนยำเกรงอิทธิพลผู้มีอำนาจบางฝ่าย และต่อให้ทำแบบนั้นได้

สักพักจะมีคนแบบผู้นำอนาคตใหม่คนอื่นเกิดขึ้นอยู่ดี

ถ้าประเทศไทยปกครองด้วยระบบกฎหมายจริงๆ การยุบพรรคการเมืองก็ต้องทำตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ 2560, กฎหมายพรรคการเมือง หรือแม้แต่กฎหมายการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เงื่อนไขในการยุบพรรคทั้งสิ้น 21 ข้อ ก็มีเรื่องซึ่งเกี่ยวข้องกับอนาคตใหม่น้อยเหลือเกิน

การถือหุ้นสื่อและพรรคกู้เงินธนาธรเป็นสองเรื่องที่คนเชื่อว่าจะเป็นเหตุให้พรรคอนาคตใหม่โดนยุบ แต่ที่จริงเรื่องธนาธรถือหุ้นสื่อหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่โดยข้อเท็จจริงแล้วโต้เถียงกันได้อีกมาก

ส่วนเรื่องพรรคกู้เงินธนาธรเป็นข้อเท็จจริงที่เถียงไม่ได้ แต่ข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้แปลว่าพรรคผิดจนเป็นเหตุให้ยุบพรรคได้เลย

ในบรรดาเงื่อนไขทางกฎหมายที่จะนำไปสู่การยุบพรรคได้จริงๆ ความผิดฐาน “รับเงิน” หรือ “รับบริจาคเงิน” เป็นเรื่องซึ่งใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงกรณีอนาคตใหม่มากที่สุด แต่ทั้งสองเรื่องนี้จะเป็นเหตุให้ยุบพรรคได้ก็ต่อเมื่อพรรครับเงินซึ่งมีที่มาที่ผิดกฎหมาย, คนต่างชาติ, บริษัทต่างชาติ ฯลฯ เท่านั้นเอง

ไม่ว่าพฤติกรรมของธนาธรจะถูกตีความว่า “ถือหุ้นสื่อ” หรือไม่ และไม่ว่าการที่พรรคกู้ยืมเงินธนาธรจะผิดอย่างที่วุฒิสมาชิก “สมชาย แสวงการ” ระบุไว้หรือเปล่า สองเรื่องนี้ไม่เข้าข่ายการกระทำที่เป็นเหตุให้ยุบอนาคตใหม่ได้แน่ๆ ยกเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าธนาธรเป็นคนต่างชาติจนพรรคผิดที่รับเงินธนาธร

เลขาฯ พรรคอนาคตใหม่กล่าวถูกต้องว่าในขณะที่คนพูดเรื่องยุบอนาคตใหม่ราวกับเป็นเส้นทางที่ต้องเป็นไป เงื่อนไขทางกฎหมายที่จะนำไปสู่การยุบอนาคตใหม่กลับไม่มีเลยทั้งสิ้น และถึงแม้วุฒิสมาชิกสมชายจะพูดถูกว่าอนาคตใหม่ควรโดนยุบแบบ “ไทยรักษาชาติโมเดล”

แต่หนทางที่จะไปสู่จุดนั้นได้ล้วนมืดมน

แน่นอนว่าผู้มีอำนาจทุกระดับแสดงตัวอย่างเปิดเผยว่าเห็นอนาคตใหม่เป็นศัตรู แต่การดำเนินการเพื่อขจัดอนาคตใหม่ต้องอาศัยการบิดเบือนหลักกฎหมายอย่างที่ประเทศนี้ไม่เคยมีมาก่อน ไม่เว้นแม้แต่เมื่อเทียบกับการยุบพรรคไทยรักไทยในปี 2550, พรรคพลังประชาชนในปี 2551 และพรรคไทยรักษาชาติที่ผ่านมา

เพื่อที่จะขจัดอนาคตใหม่ให้หมดสิ้นไป เรื่องแรกที่ผู้มีอำนาจต้องทำหาทางเอาผิดสองผู้นำพรรคให้ได้

สองคือ ทำให้ความผิดของผู้นำเป็นความผิดของพรรค

สามคือ ทำให้ความผิดพรรคนำไปสู่การยุบพรรค

และสุดท้ายคือ ต้องทำให้การยุบพรรคเป็นเหตุยกเลิกสมาชิกพรรค ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ทุกคน

วุฒิสมาชิกสมชายพูดเรื่องยุบอนาคตใหม่แบบ “ไทยรักษาชาติโมเดล” แต่วิธีนั้นไม่ได้แตะต้อง ส.ส.ที่สังกัดพรรคอนาคตใหม่ในปัจจุบันทั้งหมด ส.ส.อนาคตใหม่มีโอกาสย้ายไปสังกัดพรรคอื่นแบบ ส.ส.พรรคพลังประชาชนในปี 2551 ย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย และนั่นย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีอำนาจต้องการ

เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้มีอำนาจหลายกลุ่มแสดงความหื่นกระหายที่จะขจัดอนาคตใหม่จริงๆ แต่ก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่าอนาคตใหม่ในฐานะพรรคไม่ได้ทำอะไรผิด และการหาทางยุบพรรคอนาคตใหม่เพื่อกวาดล้าง ส.ส.ให้สิ้นซากนั้นแทบไม่มีช่องทางกฎหมายให้ทำได้เลย

อนาคตใหม่ไม่มีทางถูกยุบเหมือนไทยรักไทย, พลังประชาชน และไทยรักษาชาติ ความพยายามขจัดอนาคตใหม่ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการข่มขู่ทางการเมืองและกฎหมายครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศ

และถึงที่สุดแล้วอนาคตจะจารึกประวัติศาสตร์ช่วงนี้ในแง่ความป่าเถื่อนและอันธพาลของผู้มีอำนาจยุคปัจจุบัน