อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ทางออกหมอกควัน

เมืองในหมอก (22)

นายหมอกสีเทาจ้องมองท้องฟ้า มันแลดูมีสีดำมืดสำหรับเขา เรื่องราวจากปากของเม็ดฝนทำให้เขารู้สึกว่าท้องฟ้าเบื้องนอกช่างมืดมิดเหลือเกิน

“เราทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากเมฆหมอกสีเทา เราทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากมันไม่เพียงแต่ทางร่างกาย หากแต่ยังได้รับผลกระทบจากทางจิตใจด้วยเช่นกัน” ชายผู้นั้นเอ่ย

“เราทุกคนล้วนอยู่ภายใต้ท้องฟ้าเดียวกัน ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน” นายหมอกสีเทาเอ่ยตอบเขา

“คำตอบของคุณไม่ต่างจากคนที่เดินเข้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง นั่งลงที่โต๊ะ สั่งอาหารแล้วคาดว่าจะได้อาหารที่มีรสชาติแบบเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ซึ่งไม่มีทางเป็นเช่นนั้นในความจริง เราทุกคนเข้าร้านอาหารเดียวกัน นั่งลงที่โต๊ะในร้านอาหารเดียวกัน สั่งอาหารจากเมนูแบบเดียวกัน แต่อาจมีบางโต๊ะ อาจมีลูกค้าบางคนที่ได้รับอาหารที่มีรสชาติดีกว่าอาหารของบางโต๊ะและบางคน แม่ครัวหรือพ่อครัวอาจมีอารมณ์ที่ไม่คงที่สำหรับอาหารจานนั้น ลูกค้าอาจมีอารมณ์ไม่คงที่สำหรับอาหารจานนั้น วัตถุดิบที่ถูกส่งมาที่ร้านอาหารอาจถูกผลิตด้วยมือของผู้ที่ไม่มีอารมณ์คงที่ในวันนั้น ภายใต้อาหารแบบเดียวกัน อาจมีหลายสิ่งที่ทำให้รสชาติอาหารไม่เหมือนกัน”

นายหมอกสีเทาหันไปมองดูชายผู้นั้น “คุณกำลังบอกกับผมว่าสาเหตุที่อาหารจานหนึ่งมีรสชาติไม่เหมือนกันทั้งที่อยู่ภายใต้สภาวะและเงื่อนไขแบบเดียวกัน เป็นเรื่องของโชคชะตากระนั้นหรือ?”

“ไม่ใช่โชคชะตาหรอก หากแต่เป็นชะตากรรมต่างหาก”

เม็ดฝนยกขวดน้ำในมือขึ้น แต่แทนที่เธอจะแนบมันกับดวงตา เธอเปิดมันขึ้นดื่ม เธอดื่มมันจนหมด ลุกขึ้นนั่ง มองไปที่ท้องฟ้าสีหม่น

“ใช่ มันเป็นชะตากรรมต่างหาก”

 

“วันแรกที่ฉันเห็นท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินธรรมดา ฉันคิดถึงแม่ การสูญเสียภาพดวงดาวระยิบระยับไปทำให้ฉันกลับมาสู่การเป็นมนุษย์ปกติ ถ้าหากหมอกควันสีเทาเข้าปกคลุมเมืองของเราเร็วกว่านี้ ฉันคงไม่กลายเป็นลูกสาวคนหนึ่งที่แปลกประหลาดไปสำหรับแม่อีกคนหนึ่ง ถ้าหมอกควันสีเทาเข้าปกคลุมเมืองนี้เร็วกว่านี้สักสิบปีหรือนานกว่านั้น ครอบครัวของฉัน แม่ของฉัน ตัวฉัน คงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”

“มันเกิดขึ้นแล้ว และมันผ่านไปแล้ว” ชายผู้นั้นกล่าว

“ใช่ มันเกิดขึ้นแล้ว และมันผ่านไปแล้ว” เม็ดฝนลุกขึ้นยืนหลังคำพูดนั้น

“ได้เวลากระทำในสิ่งที่เราควรกระทำเสียที ฉันคงเรียกคืนท้องฟ้าที่มีสีสันสดใสราวกับภาพเขียนเช่นนั้นกลับมาไม่ได้อีก แต่ฉันสามารถเรียกคืนท้องฟ้าที่กระจ่างไปด้วยดวงดาวให้กลับมาได้ และฉันจะต้องทำมันให้สำเร็จอย่างน้อยก็ในชีวิตนี้ ฉันอาจเดินเข้าไปในร้านอาหารที่ทำอาหารได้ย่ำแย่ พ่อครัวไร้ฝีมือ พนักงานเสิร์ฟไม่มีความเป็นมิตร แต่ฉันจะกินอาหารจานนั้นด้วยจิตใจที่แจ่มใสร่าเริง ฉันจะกินอาหารจานนั้นอย่างมีความสุขจนถึงคำสุดท้าย”

เม็ดฝนเดินกลับไปที่รถ นายหมอกสีเทาและชายผู้นั้นลุกขึ้นจากพื้นถนนและเดินตามเธอไป พวกเขากลับไปที่รถของตนเอง ออกรถและมุ่งหน้ากลับสู่เมืองที่พวกเขาจากมันมา

 

พวกเขามาถึงสถาบันวิจัยของเม็ดฝนในเวลาเกือบรุ่งสาง เช้านั้นมีแสงสว่างเล็ดลอดผ่านเมฆหมอกสีเทามาน้อยกว่าน้อย รถยนต์สองคันจอดลงที่ลานจอดรถ เม็ดฝนเดินนำชายผู้นั้นและนายหมอกสีเทาไปยังอาคารที่ทำงานของเธอ มันเป็นเวลาเช้าอยู่มากจนไม่ปรากฏร่องรอยของมนุษย์ ยามที่เฝ้าอาคารหรี่ตาของเขาที่โผล่พ้นออกจากหน้ากากป้องกันมลพิษขึ้นดู และเมื่อเห็นว่าบุคคลที่รบกวนเวลานอนหลับของเขาเป็นเม็ดฝน เขาก็ยิ้มเบาๆ ก่อนจะหลับตาลงหลับใหลต่อไป เม็ดฝนเปิดประตูด้านล่างด้วยบัตรประจำตัวของเธอ ก่อนจะกดลิฟต์โดยสาร

ที่ชั้นบนสุดของอาคาร เม็ดฝนเดินเข้าไปในห้องทำงานของเธอ ขวดน้ำที่นำน้ำจากแอ่งน้ำนั้นถูกวางลงบนโต๊ะของเม็ดฝน ชายผู้นั้นทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ว่างตัวหนึ่ง เขาเหยียดแขนด้วยท่าทีเหนื่อยล้าไปกลางอากาศ และไม่นานนักเขาก็หลับสนิทลง นายหมอกสีเทาเอ่ยถามกับเม็ดฝนว่า

“ถ้าคุณเห็นว่าผมพอเป็นประโยชน์อะไรให้คุณได้บ้าง คุณบอกผมได้ตลอดเวลา”

เม็ดฝนจัดแจงอุปกรณ์เครื่องมือบนโต๊ะทำงานกลางห้องอย่างเงียบๆ เธอหันมามองนายหมอกสีเทา “ต้องขอโทษทีที่ตอนนี้ฉันยังนึกอะไรไม่ออก แต่ถ้าคุณจะกรุณา ช่วยชงกาแฟแบบที่คุณชงให้ฉันที่ร้านหนังสือได้ไหม ครัวของเราอยู่ด้านหลังห้องนี้ ที่นั่นมีทุกอย่างที่คุณต้องการ”

นายหมอกสีเทาเข้าไปในห้องครัว เขาเติมน้ำสะอาดลงในกาน้ำร้อน เสียบปลั๊กไฟฟ้าให้กับเตาไฟฟ้า และตั้งกาน้ำร้อนลงบนเตา หลังจากนั้นเขาเปิดตู้ทุกตู้เพื่อค้นหากาแฟสำเร็จรูป แต่ไม่พบ สิ่งที่เขาพบคือเม็ดกาแฟที่ถูกคั่วเรียบร้อยแล้วสีน้ำตาลเข้มซึ่งถูกบรรจุอยู่ในกล่องพลาสติกธรรมดากล่องหนึ่ง เขามองหาเครื่องบดเม็ดกาแฟ แต่ไม่มี ห้องครัวแห่งนี้อาจมีบางสิ่งที่พอใช้ชงกาแฟได้ แต่มันเป็นห้องครัวที่ดูเหมือนจะไม่ได้ทำหน้าที่เช่นนั้นมาเนิ่นนานมากทีเดียว

กระนั้นเขาก็ไม่ไร้สิ้นซึ่งความพยายาม นายหมอกสีเทาใช้ผ้าบางสีขาวห่อเม็ดกาแฟเหล่านั้นและใช้ฆ้อนทุบเนื้อที่เขาพบทุบเม็ดกาแฟอย่างใจเย็นครั้งแล้วครั้งเล่าจนเม็ดกาแฟแหลกละเอียด หลังจากนั้นเขาใช้น้ำร้อนกับผ้าสีขาวกรองกาแฟอย่างช้าๆ

ในที่สุดหลังจากเวลาผ่านไปนานกว่าครึ่งชั่วโมง นายหมอกสีเทาก็กลับไปยังห้องทดลองของเม็ดฝนพร้อมกับกาแฟแก้วหนึ่ง

 

ทว่า ภาพที่นายหมอกสีเทาพบเห็นในห้องห้องนั้นกลับแตกต่างจากภาพเดิมที่เขาจากไป ห้องทั้งห้องระเกะระกะไปด้วยสิ่งของนานา มีเศษแก้วที่แตกละเอียดอยู่ที่พื้น มีน้ำจำนวนมากไหลนองอยู่บนพื้นห้อง ชายผู้นั้นตื่นจากหลับแล้วและเขากำลังขจัดเศษแก้วพร้อมกับทำความสะอาดพื้น ในขณะที่เม็ดฝนวิ่งไปมารอบๆ ห้อง มือข้างหนึ่งของเธอจดบางสิ่ง สายตาของเธอมองไปที่ของเหลวที่กำลังส่งไอควันออกจากหลอดแก้ว

ไอควันเหล่านั้นปกคลุมไปทั่วห้อง มันเป็นควันที่ไร้สีและไร้กลิ่น นายหมอกสีเทาสูดไอควันเหล่านั้นเบาๆ มันเป็นไอควันที่ทำให้เขาสดชื่นอย่างแปลกประหลาด มันเป็นไอควันที่ทำให้เขานึกถึงป่าดึกดำบรรพ์อันอุดมสมบูรณ์

มันเป็นไอควันที่ทำให้เขานึกถึงดินแดนบุรพกาลที่ไม่เคยมีใครสำรวจพบ มันเป็นไอควันที่บริสุทธิ์ราวกับยิ้มแรกของทารกแรกเกิด

มันเป็นไอควันที่ทำให้เขารู้สึกได้ว่าขอเพียงได้กลิ่นของมัน ความทุกข์ยากทั้งหลายจากมลภาวะทางอากาศจะสูญสลายไป

นายหมอกสีเทาวางแก้วกาแฟในมือของเขาลงบนโต๊ะ เขาช่วยชายผู้นั้นทำความสะอาดพื้นห้องจนกลับสู่สภาวะปกติ ในขณะที่เม็ดฝนยังคงวิ่งไปมาตามมุมต่างๆ ทั่วห้อง เธอสูดอากาศตรงนั้นที ตรงนี้ที ราวกับปลาที่โผขึ้นมาสูดอากาศที่ผิวน้ำ ก่อนจะหยิบท่อแก้วและหลอดแก้วจำนวนมากต่อเข้ากับท่อแก้วและหลอดแก้วที่มีอยู่ ปลายเปิดของท่อแก้วจำนวนมากปลดปล่อยไอควันดังกล่าวไปทุกทิศทุกทาง

เม็ดฝนจดสิ่งต่างๆ ที่เธอพบเห็นพร้อมกับมีรอยยิ้มจำนวนมากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ

ชายผู้นั้นนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม แต่ในครานี้เขาไม่ได้หลับลง นายหมอกสีเทาลากเก้าอี้หนึ่งตัวมานั่งลงเคียงข้างเขา ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันโดยไม่ต้องเอ่ยวาจาว่าบัดนี้พวกเขาได้กลายเป็นผู้ชมต่อการค้นพบที่ยิ่งใหญ่แล้ว

“ช่างเป็นอากาศที่ผมคุ้นเคยจริงๆ” ชายผู้นั้นกล่าว นายหมอกสีเทาก้มศีรษะเป็นเชิงเห็นพ้อง และก่อนที่เขาจะกล่าวอะไรออกมาถึงอากาศที่ว่านี้ เม็ดฝนก็เอ่ยถ้อยคำหนึ่งออกมา

“โอโซน คำตอบของน้ำ แหล่งน้ำ และปริศนาในการต่อสู้กับหมอกควันสีเทาอยู่ที่นี่เอง”