บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ/ รัฐธรรมนูญเฮงซวย!! ส.ส. (ช่อ) ไม่เฮงซวย?

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

รัฐธรรมนูญเฮงซวย!!

ส.ส. (ช่อ) ไม่เฮงซวย?

 

หากนับสถิติถือว่าพรรคน้องใหม่อย่างอนาคตใหม่ มีปัญหาเรื่อง “ปาก” มากที่สุด ทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง

ช่วงก่อนเลือกตั้งมีปัญหาในประเด็นพูดจาและโพสต์ข้อความหมิ่นเหม่สถาบัน ไล่ตั้งแต่หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และโฆษกพรรค พอถูกขุดคุ้ยก็อ้างว่าถูกปฏิบัติการไอโอ (ปฏิบัติการข่าวสารทางทหาร) ใส่ร้าย อ้างว่าข้อความของตัวเองถูกตัดต่อบิดเบือน ไม่เอามาทั้งบริบท

อย่างกรณีหัวหน้าพรรค (ธนาธร) โด่งดังมาจากคำให้สัมภาษณ์ที่ว่า “เศรษฐกิจพอเพียงเป็นแค่วาทกรรม” ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าคนที่โจมตีหยิบยกแค่บางส่วนมานำเสนอ

แต่เมื่อไปอ่านรายละเอียด กลับ “ยิ่งชัด” ว่า ธนาธรหมายความอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งสะท้อนว่าเจ้าตัวไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจว่าความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง ที่รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสไว้หลายโอกาสนั้นคืออะไร

เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้หมายถึงการห้ามไม่ให้คนเรารวย ไม่ได้ห้ามการเป็นเศรษฐีหรือใช้ของหรูหรา

แต่เป็น “หลักการ” ในการทำอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยความไม่ประมาท เพื่อป้องกันความเสียหาย

กล่าวคือ ต้องมีความพอประมาณ มีเหตุผลมีผล มีภูมิคุ้มกันที่ดี หลักการนี้ใช้ได้ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคล ระดับครัวเรือน บริษัทและองค์กร อีกทั้งยังใช้ได้กับทุกอาชีพ ตั้งแต่เกษตรระดับครัวเรือนของชาวบ้าน ไปจนถึงการทำธุรกิจ-อุตสาหกรรมหมื่นล้านทุกประเภท

การเน้นย้ำเศรษฐกิจพอเพียงเกิดขึ้นหลังจากไทยประสบวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์

สาเหตุหนึ่งเพราะเปิดเสรีทางการเงินมากเกินไป (ขาดความพอประมาณ) และขาดมาตรการกำกับดูแลที่เหมาะสม (ขาดภูมิคุ้มกันที่ดี) กู้เงินต่างประเทศได้ง่าย ทำให้ก่อหนี้ต่างประเทศมหาศาล และนำมาลงทุนล้นเกินจนเกิดฟองสบู่

แต่ธนาธรไปตีความว่า เศรษฐกิจพอเพียงคือการปฏิเสธของที่มาจากข้างนอกเพราะต้องการปกป้องกลุ่มทุนในประเทศ ไม่ให้ต่างประเทศเข้ามาแข่งเพราะไทยแข่งไม่ได้ เศรษฐกิจพอเพียงคือการสร้างมายาคติขึ้นมาว่าอะไรที่มาจากข้างนอกเป็นของเลว สร้างความโลภ ของเราข้างในดีอยู่แล้ว

ธนาธรถามว่า เศรษฐกิจพอเพียงแล้วคุณปิดประเทศไหม นี่คือความไม่รู้อย่างลึกซึ้งของธนาธร เพราะเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้หมายถึงการปิดประเทศ แต่หมายถึงการเปิดรับภายนอกอย่างประมาณตนและรอบคอบ มีมาตรการรับมือที่ดี

อีกอย่างถึงแม้เราอยากปิดประเทศก็ทำไม่ได้ เนื่องจากมีพันธผูกพันอยู่กับองค์การการค้าโลก ไทยไม่เคยและไม่คิดจะปิดประเทศ

หนักไปกว่านั้นและที่น่าเสียใจไปกว่านั้นของธนาธรก็คือ การพูดถึงขนาดที่ว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องของชนชั้นนำที่ต้องกดขี่ชาวบ้าน คนยากคนจนไม่ให้ลืมตาอ้าปาก ไม่ให้ขยับขึ้นมาเป็นคนรวยได้ ทั้งที่มีประจักษ์พยานชัดจำนวนมากว่าการทำตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงทำให้ชีวิตหลายคนดีขึ้น ปลอดหนี้สิน พึ่งพาตัวเองได้

ชื่อภาษาอังกฤษของเศรษฐกิจพอเพียงคือ Sufficiency Economy ทำไมธนาธรซึ่งเรียนจบเมืองนอก จึงไม่เข้าใจและไม่เห็นคุณค่าของคำว่า Sufficiency ที่มีความหมายที่ดี แม้แต่การทำธุรกิจหมื่นล้านของธนาธรก็ต้องอยู่บนหลักการนี้ไม่มากก็น้อย

 

คราวนี้ก็มาถึงตาของ “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งยังไม่ทันจะหายโด่งดัง (ทางลบ) จากการโพสต์ข้อความในลักษณะทำร้ายหัวใจคนไทย ล่าสุดก็ยังไม่จำบทเรียน ทำให้มีปัญหาเรื่อง “ปาก” ขึ้นมาอีก จากการไปพูดบนเวทีสัมมนาเพื่อรณรงค์การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มหาสารคาม ตอนหนึ่งว่า “รัฐธรรม (2560) เฮงซวยทุกมาตรา”

ทำให้เธอถูกโจมตีค่อนข้างมาก เธออ้างว่าคำพูดนั้นหมายถึง “ที่มา” ของรัฐธรรมนูญ (เฮงซวย) ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดใหม่เป็น “มีปัญหาทุกมาตรา”

แต่คำแก้ตัวของเธอก็ยังฟังไม่ขึ้น เช่นเดียวกับคำแก้ตัวของเธอในคราวก่อนที่โพสต์พาดพิงในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างไม่สมควร ที่ฟังแล้วก็ยังไม่กระจ่างจนถึงทุกวันนี้

ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญเฮงซวยนี้ การที่ช่ออ้างว่าเธอเองต้องการหมายถึง “ที่มา” ของรัฐธรรมนูญนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะคำว่า “เฮงซวยทุกมาตรา” ย่อมหมายถึง “เนื้อหา” เฮงซวย ไม่ใช่ที่มาเฮงซวย

การพูดว่า “เฮงซวยทุกมาตรา” เป็นการพูดแบบเหมารวม ซึ่งมีความเสี่ยงจะถูกตีโต้กลับ คล้ายกับการพูดว่า นักการเมืองทุกคน ทหารทุกคน คนรวยทุกคน เป็นคนเลวหมด ซึ่งไม่มีทางอยู่แล้วที่คนกลุ่มหนึ่ง ฐานะหนึ่ง อาชีพหนึ่ง เพศหนึ่งจะเป็นคนดีหรือเลวทั้งหมด ย่อมมีดีหรือเลวคละเคล้ากันไป

การพูดอะไรแบบเหมารวม (generalize) ไม่ใช่ลักษณะของคนรุ่นใหม่หรือหัวก้าวหน้า แต่คือลักษณะของคนใจแคบ มีอคติ

 

“ช่อ” คงอยากเป็นนักชกมือฉกาจ ตามประสาคนชอบขึ้นเวที ที่อยากเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนๆ ข้างสนาม แต่นักชกที่ดีและต้องการชัยชนะต้องเป็นนักมวยที่ตั้งการ์ดสูงอยู่เสมอ แต่ช่อเป็นพวก “การ์ดตก” ออกหมัดมาทีไรก็เจอหมัดตรงสวนอย่างจัง

ถ้าช่อมั่นใจว่ารัฐธรรมนูญ 2560 เฮงซวยทุกมาตราจริง ก็ต้องตอบให้ได้ว่าเฉพาะหมวดแรก (บททั่วไป) ของรัฐธรรมนูญ มีตรงไหนไม่ดีอย่างไร อาทิ มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย มาตรา 4 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง มาตรา 5 ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศหรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน

โฆษกพรรคอนาคตใหม่บอกว่า รัฐธรรมนูญนี้ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการร่าง ดังนั้น จำเป็นต้องยกร่างใหม่หมดให้ประชาชนมีส่วนร่วม

ถามว่า ถ้าประชาชนมีส่วนร่วมแล้วช่อและพรรคอนาคตใหม่อยากแก้ 5 มาตราของรัฐธรรมนูญหมวดแรกดังกล่าวข้างต้นให้เป็นแบบไหน แก้ให้เป็นตรงข้ามหมดเลยหรือเปล่า ไม่เอาคำว่าไทยเป็นราชอาณาจักรเดียว ไม่เอาคำว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องได้รับการคุ้มครอง อย่างนั้นหรือไม่

ส.ส.ทั้งหมดในขณะนี้ รวมทั้งช่อ ได้รับเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ช่อบอกว่าเฮงซวย ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่ารัฐธรรมนูญเฮงซวย

แต่คนที่ได้รับเลือกภายใต้รัฐธรรมนูญนี้อย่างช่อไม่เฮงซวย หรือช่อคิดว่า ส.ส.ทุกคนเฮงซวยหมดยกเว้นตัวเอง

 

อาการแบบนี้ของพรรคฝ่าย (มโน) ประชาธิปไตยไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกหลังเลือกตั้ง เพราะเลือกตั้งเสร็จพวกเขาเรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยโดยพลการและถือวิสาสะเรียกอีกฝ่ายว่าสืบทอดเผด็จการ ทั้งที่เลือกตั้งมาภายใต้รัฐธรรมนูญเดียวกัน ที่ตอนนั้นพวกเขาเรียกว่ารัฐธรรมนูญเผด็จการ

เหมือนกับคนคนหนึ่ง ที่เกิดมาแล้วพยายามปฏิเสธว่าคนนั้นคนนี้ไม่ใช่พ่อแม่ตัวเอง ทั้งที่พิสูจน์ดีเอ็นเอแล้วว่าใช่ การปฏิเสธพ่อแม่ตัวเองนั้น อาจเป็นเพราะพ่อแม่ยากจน หน้าตาไม่หล่อ ไม่สวย ลูกก็เลยอับอายจนต้องสร้างโปรไฟล์แบบ “ไม่ตรงปก” ขึ้นมาหลอกสังคมเพื่อเขยิบฐานะตัวเอง

อย่าลืมว่าระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม (ทุกคะแนนไม่ตกน้ำหรือทิ้งเปล่า) ของรัฐธรรมนูญเฮงซวย ทำให้พรรคอนาคตใหม่ได้ ส.ส.เกินเป้าหมายไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งน่าจับตาว่าพรรคนี้จะเสนอให้แก้ไขหรือยกเลิกการเลือกตั้งระบบนี้ด้วยหรือไม่

หรือคงเอาไว้เพราะตัวเองได้ประโยชน์