ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | อัญเจียแขฺมร์ |
เผยแพร่ |
โดย อภิญญ ตะวันออก
[email protected]
สมเด็จพระสีโสวัตถิ์ ชีวันมุนีรักษ์ (พระอิสริยยศล่าสุด 2547) ราชนิกุลเขมรผู้โปรดปรานการแสดง เคยเป็นนักแสดงสมทบในบทหัวหน้าเขมรแดง (พัต) ใน “ทุ่งสังหาร” (The Killing Fields) ภาพยนตร์ที่โด่งดังอย่างมากเมื่อ 3 ทศวรรษก่อน
อดีตที่ปรึกษาในองค์พระมหากษัตริย์กัมพูชา รองประธานสภาสูง หนึ่งในผู้ที่จะขึ้นครองราชสมบัติสายราชนิกุลสีโสวัตถิ์ และอดีตพระสวามีในสมเด็จพระเรียมบุปผาเทวี ที่เพิ่งเสด็จทิวงคตเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา
“เจ้าชายนักแสดง” คือชื่อที่เรียกกันในวงการภาพยนตร์
แต่สำหรับ “อัปสรา” (2508) ภาพยนตร์ที่น่าจดจำสำหรับฉัน ถือเป็นผลงานที่ทึ่งในแง่วิสัยทัศน์ด้านการเมือง ศิลปะ และจารีตเขมรนิยมที่อยู่ในบุคคลผู้มีฐานะเป็นถึงพระมหากษัตริย์อย่างพระบาทนโรดม สีหนุ ผู้ทรงกำกับการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งมีนักแสดงบทสำคัญกว่าครึ่งมีเชื้อพระวงศ์ หรือมิฉะนั้นก็ทำงานใกล้ชิดกับพระองค์
เผยบุคลิกในแบบเสรีนิยมและจารีตอนุรักษนิยมในแบบที่เปิดเผยโดยเฉพาะในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่ดูจะไม่ทรงอิหลักอิเหลื่อที่จะเลือกหรือแสดงออก
ดังที่จากทรงเลือกพระธิดาองค์โต สมเด็จพระเรียมบุปผาเทวีมาแสดงเป็นนางละครเอก-กันทา
ขณะเดียวกันก็ทรงมอบบท “พาลี” แก่สมเด็จพระปิตุลา-พระองค์เจ้าชีวันมุนีรักษ์ โอรสองค์สุดท้ายในพระบาทสีโสวัตถิ์ มุนีวงศ์ ซึ่งมีชันษาน้อยกว่าพระองค์ร่วม 14 ปี
องค์ชีวันมุนีรักษ์ สำเร็จการบินหลายระดับทั้งกองทัพอากาศกัมพูชา โมร็อกโก ฝรั่งเศส สหรัฐ และสถาบันกองทัพอากาศแห่งยูโกสลาเวีย ในปี 1969 และรับราชการแห่งกองทัพอากาศตั้งแต่ปี 2499 โดยนาวาอากาศโทแห่งกองทัพอากาศเขมรภูมินทร์คือตำแหน่งสุดท้ายในปี 2512 ที่ทรงได้รับและเป็นบทบาทเดียวกับ “พาลี” นักบินทิ้งระเบิดโจมตีที่มีสมรรถนะล้ำสมัยจำนวน 4 ลำที่ประเทศมีครอบครองในภาพยนตร์ “อัปสรา” ขณะนั้น
ดูเหมือนผู้กำกับฯ จะจำลองชีวิตจริงของ “พาลี-กันทา” (*) มานำเสนอ
ที่น่าจดจำอีกประการ คือนักสดงสมทบอีกคนหนึ่งคือ เอกอุดมเก็ก วันดี และต่อมาได้เป็นคู่ชีวิตลำดับที่ 5 ในสมเด็จพระเรียมบุปผาเทวี
สำหรับบทกันทา-พาลี ที่เติบโตมาด้วยกันจนกลายเป็นความรักตามที่สมเด็จสีหนุทรงกำกับฯ ให้มีฉากรักโรแมนติกที่อบอวลไปด้วยธรรมชาติแห่งบรรยากาศ
แม้ว่าชีวิตจริงพระเอกจะมีศักดิ์เป็นคุณปู่เล็ก (อัยกาในที่นี้เขมรเรียกว่าตา) ที่แก่ชันษากว่าหลานนางเอกแค่ 5 ปี และนอกจากผู้กำกับฯ ซึ่งเป็นนัดดาแล้ว ต่อมายังมีฐานะเป็นพ่อตา (พระสสุระ) ของตัวพระอีกด้วย
จากนั้น การลำดับญาติแบบ “สีโสวัตถิ์-นโรดม” ยังมีให้ชมต่อคือ
มาจากที่พระน้องยาเธอพระองค์เจ้าชีวันมุนีรักษ์พระลูกยาเธอในพระมหากษัตริยานีสีโสวัตถิ์มุนีวงศ์ กุสุมานารีรัตน์เสรีวัฒนา (ครองราชย์ 1960-1970) หรือสมเด็จพระชนนีโกสะมักในสมเด็จสีหนุหัวหน้ารัฐบาลและประมุขแห่งรัฐ ซึ่งขณะนั้นใช้เวลาหลักๆ ไปกับถ่ายทำภาพยนตร์ โดยเฉพาะอัปสราที่กลายเป็นตำนานรักหนุ่มสาวแห่งชาววังเขมรินทร์ที่เกิดขึ้นระหว่างปู่เล็กชีวันมุนีรักษ์กับนัดดาบุปผาเทวี
แต่ในที่นี้ก็ยังมีบุปผาอีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นโจทย์ กล่าวคือ มีเจ้าหญิงหลานนโรดม 2 ศรีพี่น้องที่นามว่าบุปผาเหมือนกัน แต่ต่างมารดา
พลันเรื่องชุลมุนแบบ “สีโสวัตถิ์-นโรดม” ก็เริ่มต้นจากจุดนั้น สำหรับเชื้อพระวงศ์เขมรินทร์ ที่มักจะจบลงด้วยการสมรสในหมู่ญาติ
หากแต่บุปผาชายาองค์แรกที่ปู่เล็กองค์ชีวันมุนีรักษ์ทรงเสกสมรสด้วยนั้น คือพระองค์เจ้าหญิงปทุมบุปผา พระธิดาพระนางเจ้าสีโสวัตถิ์ พงสานมุนี ซึ่งเป็นชายาเอกในสมเด็จนโรดม สีหนุ
ราชนิกุลหนุ่มเนื้อทองเจ้าบ่าวของวังเขมรินทร์ขณะนั้นเพิ่งจะ 27 ชันษา แต่ก็มีภริยาหม่อมสามัญชนมาแล้วถึง 2 คน คือหม่อมวันสิน (สกุลเดิมพน) แต่เลิกร้างต่อมาและมีธิดาคนหนึ่งคือ ม.จ.หญิงสีโสวัตถิ์ มุนีรังสี (2500) ต่อมาทรงได้ โลจ นาครี เป็นหม่อมคนที่ 2 และมีธิดาด้วยกันอีกคนหนึ่งคือ ม.จ.สีโสวัตถิ์ บุษบามุนี (2502) ที่น่าจะสันนิษฐานได้ว่า สมเด็จพระนางโกสะมักมิทรงโปรด ด้วยเห็นว่า พระน้องยาเธอมีศักดิ์เป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง
ดังนั้น เมื่อได้รับการถวายอำนาจจากสมเด็จลูกชายให้ขึ้นครองราชย์ จึงพยายามสะสางเชื้อพระวงศ์ 2 ฝ่าย “สีโสวัตถิ์-นโรดม” ให้งามสง่า
แลเป็นที่มาของการเสกสมรสระหว่างพระน้องยาเธอชีวันมุนีรักษ์กับพระราชนัดดาปทุมบุปผา ซึ่งขณะนั้นเพิ่งจะ 13 ชันษา (18 มกราคม 2494) ยังทรงพระเยาว์ คล้ายเพิ่งโกนโสกันต์/จุกไม่นาน และอ่อนชันษากว่าสวามีญาติสัก 15 ปี
แต่ก็เป็นไปตามพระประสงค์ วันเสกสมรสซึ่งกำหนดไว้ ณ วังเขมรินทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2506 เสร็จสิ้นลง พลันการลำดับวงศ์ก็ดูจะพันกันไปมา ระหว่างสวามี-องค์ชีวันมุนีรักษ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นอนุชาของมารดาชายา หรือน้าชาย (ปิตุลา) ของพระชายาหลาน
อีกทางหนึ่ง ก็ทรงมีฐานะเป็นพระปิตุลาของสมเด็จสีหนุ อีกด้านหนึ่งก็ทรงเป็นพระชามาดา (ลูกเขย) ของพระนัดดาสีหนุ
ดองกันหลายชั้น ทั้งลำดับเก่าและลำดับใหม่
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อองค์มุนีรักษ์ทรงเลิกร้างกับชายา-องค์นโรดม ปทุมบุปผา พระธิดาองค์ที่ 4 ในสมเด็จสีหนุ เพื่อมาสมรสครั้งที่ 4 กับพระธิดาองค์โตในสมเด็จสีหนุ-พระญาติหลานและมีสถานะต่อมาเป็นพระสสุระหรือพ่อตาถึง 2 รอบ!
เป็นตำนานรัก “กันทา-พาลี” ที่ดูจะผิดจารีตครั้งนี้ กลับมีสมเด็จภคินีเธอฝ่ายเจ้าบ่าว หรือพระอัยยิกาฝ่ายเจ้าสาวเห็นชอบ ด้วยเห็นว่า
อย่างไรก็สีโสวัตถิ์ อย่างไรก็นโรดม
แม้ขณะนั้น ชายาเอกนโรดม ปทุมบุปผา จะมีโอรส-ธิดากับสวามีปู่เล็กด้วยกันแล้วถึง 3 คน คือ ม.จ.หญิงสีโสวัตถิ์ ฉวีโสภา (2507) ม.จ.สีโสวัตถิ์ วันนุรักษ์ (2508) และ ม.จ.สีโสวัตถิ์ จันทรวิทย์ (2509) ก็ตาม
กล่าวกันว่า ทรงหย่ากันแบบพัลวัน เนื่องตอนนั้น องค์ชายาสาวเพิ่งจะให้กำเนิดโอรสองค์ที่ 3 แต่เพียงไม่กี่เดือนให้หลัง ก็มีข่าวว่า พี่พาลีกับน้องกันทา-องค์หญิงบุปผาเทวีซึ่งเป็นพี่สาวของเมียเอกกำลังตั้งครรค์เสียแล้วนี่!
เรื่องเลยโอละพ่อว่า ทำไมองค์ปทุมบุปผาจึงทรงเลิกร้างกับพระสวามีเจ้าที่มีโอรส-ธิดาขณะนั้นถึง 3 คนอย่างง่ายๆ ก็เหตุที่สวามีปู่เล็กทรงไปมีกิ๊กกับพี่สาวซึ่งตกพุ่มม่ายมาไม่นาน
และเป็นเหตุให้น้องสาวต้องมีสถานะกึ่งมีสวามีร่วมกับพี่สาวและต่อมาตกพุ่มม่าย ในขณะที่เพิ่งจะชันษา 16 หย่อนๆ เท่านั้น
แลพระชายาใหม่ที่ทรงตั้งครรภ์ต่อมาก็คลอดโอรส คือ ม.จ.สีโสวัตถิ์ ชีวันณฤทธิ์ หนึ่งปีให้หลัง เป็นของขวัญแก่สายสกุลสีโสวัตถิ์ และเพิ่มความอลวนแก่บ้านนโรดมไปอีกนิด เมื่อครานี้ปู่เล็กที่ผ่านการครองคู่มาแล้ว 3 ครั้ง ได้สมรสใหม่กับกับหลานสาว ซึ่งผ่านการครองคู่มาแล้วเท่ากัน
องค์ปทุมบุปผา (หลาน) สะใภ้หลวงจึงตกที่นั่งอีกคราเหมือนพระมารดาของเธอ องค์สีโสวัตถิ์ พงสานมุนี ซึ่งมีศักดิ์เป็นภคินีและพระสัสสุ (แม่ยาย) ในองค์ชีวันมุนีรักษ์ และยังเป็นสะใภ้เอกแห่งวังหลวงตัวจริง ที่ดูเหมือนจะทรงเจ็บปวดจากความพ่ายแพ้และสูญเสีย (ความสำคัญ) แก่ชายารองและลูกๆ ที่มีศักดิ์ต่ำกว่าแค่สามัญชน และยังเป็นพวกนางละคร
ความรู้สึกดังกล่าวเคยหลอกหลอนพระองค์มาแล้ว และยังกลับมาหลอนลูกสาวสุดรักของพระนางอีกครา
ช่างกระไร ที่ผู้กระทำก็หาใช่ใครที่ไหน? แต่เป็นทั้งพระอนุชา (ชีวันมุนีรักษ์) และพระสวามีหลาน (สีหนุ) ซึ่งต่างมีศักดิ์สกุลทั้งสีโสวัตถิ์และนโรดมเหมือนกับพระองค์
อย่างไรก็ตาม องค์หญิงปทุมบุปผานั้น ไม่เหมือนกับพระมารดาตรงที่เธอยังตัดสินใจสมรสใหม่ทันทีที่ฉลองปีใหม่ 2510 ณ พระราชวังนั่นเอง โดยสวามีองค์ใหม่ มีอายุแก่กว่าไม่มากแต่ก็เป็นราชนิกุลสีโสวัตถิ์ คือ ม.จ.สีโสวัตถิ์ ดุษฎี กมญา
แต่ 5 ปีก็ทรงหย่า และทรงสมรสใหม่กับกรมขุนสีหนุ โสภตรา (น่าจะเป็นพระญาติและอีกราชสกุลหนึ่ง) ซึ่งดูเหมือนว่า สมาชิกทั้งหมดสูญหายในสมัยเขมรแดง
ส่วนภคนีบุปผาเทวีนั้น แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานวันเสกสมรสที่ระบุว่ามีขึ้น ณ พระราชวังเขมรินทร์ แม้จะทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขชีวิตคู่กับสมเด็จพระสีโสวัตถิ์ ชีวันมุนีรักษ์ นานร่วม 23 ปี ทรงมีโอรส-ธิดา 2 คน คือ ม.จ.ชีวันณฤทธิ์ และ ม.จ.สีโสวัตถิ์ วชิรวุธ
แต่ในที่สุดก็เลิกร้างต่อกัน
กระนั้น สมเด็จพระสีโสวัตถิ์ ชีวันมุนีรักษ์ ดูจะยังโปรดปรานนามว่า “กันทา” ในพระหทัยอย่างมิแปรเปลี่ยน
ซึ่งยังนามของชายาลำดับที่ 5 และเป็นหม่อมคนสุดท้ายในชีวิตสมรส (และหย่าร้าง) คือ หม่อมกันทิ รัตนา สกุลเดิมแพง หรือ หม่อมสีโสวัตถิ์ กันทิเรต โมนิก (นามแต่งตั้ง)
เธอคือมารดาผู้ให้กำเนิดธิดาผู้อยู่กับพระองค์ในช่วงท้ายๆ ของชีวิต คือ ม.จ.หญิงสีโสวัตถิ์เกสัน มุนี (2536) และ ม.จ.หญิงสีโสวัตถิ์รักษา สัจจวงศ์ (2546)
เมื่อทรงทิวงคตไป
พลันโลกเสมือนจริงในภาพยนตร์ที่ทรงเคยแสดงอย่างอัปสราก็กลับมาเหมือนฝัน
และบอกเล่าความจริงหนึ่งซึ่งไม่สู้มีผู้คนรับรู้กัน
(*) ตัวละครน่าจะมาจาก “กันหา-ชาลี” ในพระเวชสันดรชาดกเรื่องชูชก