ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 กันยายน - 3 ตุลาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | จดหมาย |
เผยแพร่ |
จดหมาย
0 โปรดอ่าน
เรียนบรรณาธิการมติชนสุดสัปดาห์
ผ่านถึงรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์)
ตามที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะรื้อฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าทวิภาคีระหว่างไทยและสหภาพยุโรปนั้น
กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน
มีข้อเสนอดังต่อไปนี้
เมื่อปี พ.ศ.2552 ก่อนที่การเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปจะเริ่มขึ้น
คณะรัฐมนตรีขณะนั้น ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ
ได้ตั้งคณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นทั่วประเทศ
พบว่า ข้อห่วงกังวลที่ชัดเจน คือ
มีข้อผูกพันเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มงวดเกินไปกว่าที่ตกลงไว้แล้วในองค์การการค้าโลก (ข้อผูกพันแบบทริปส์ผนวก หรือทริปส์พลัส)
ในด้านการเกษตร
จะทำให้เกิดการผูกขาดในภาคการเกษตรแบบครบวงจร
กระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ วิถีชีวิตของชุมชน และเกษตรรายย่อย
ในด้านระบบสุขภาพ
จะมีผลกระทบต่อการเข้าถึงยา
เนื่องจากการผูกขาดผ่านระบบสิทธิบัตรที่ยาวนานเกินกว่ามาตรฐานขององค์การการค้าโลก
การกีดกันการแข่งขันของยาชื่อสามัญ
และการจำกัดการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรเพื่อการสาธารณสุขของประเทศ
มีการเปิดเสรีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่
ซึ่งจะทำให้มีการบริโภคมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสังคมอย่างกว้างขวาง
มีการคุ้มครองการลงทุน
ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องร้องรัฐผ่านกลไกอนุญาโตตุลาการนอกประเทศได้
การคุ้มครองการลงทุนในลักษณะดังกล่าวจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชนในทุกมิติ
ข้อกังวลเหล่านี้ไม่ได้เกินจริง
แต่มาจากการศึกษาและวิเคราะห์ร่างความตกลงที่สหภาพยุโรปเคยเสนอมาในการเจรจาครั้งที่แล้ว
สิ่งนี้จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้กำหนดนโยบายพึงตระหนักตั้งแต่ก่อนที่จะรื้อฟื้นการเจรจา
ในขณะนี้
นายกรัฐมนตรีของไทยกำลังเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่กรุงนิวยอร์ก
เพื่อกล่าวคำประกาศทางการเมืองว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ทั้งนี้ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทย
ช่วยให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาล
เป็นที่ชื่นชมและถือเป็นตัวอย่างที่ดีในสายตานานาประเทศ
และหลายประเทศกำลังเดินหน้าผลักดันให้มีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเช่นเดียวกับไทย
แต่ถ้าประเทศไทยเดินหน้ารื้อฟี้นการเจรจาเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป
โดยให้มีข้อผูกพันในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและการคุ้มครองการลงทุน อย่างที่เคยปรากฏในร่างความตกลงฉบับก่อน
ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของไทยจะได้รับผลกระทบร้ายแรง
จากราคายาที่สูงขึ้นอย่างมาก
และการถูกจำกัดการออกหรือใช้นโยบายสาธารณะเพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชน
ทั้งที่ในคำประกาศทางการเมืองว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าขององค์การสหประชาชาติ ที่นายกฯ ของไทยกำลังไปร่วมประชุม
ได้กล่าวย้ำความจำเป็นที่จะต้องมีการเข้าถึงยา วัคซีน และเวชภัณฑ์จำเป็นต่างๆ ในราคาที่เป็นธรรม
และไม่ควรให้ความตกลงการค้าใดๆ และเรื่องทรัพย์สินทางปัญญามาเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงระบบสุขภาพภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ดังนั้นแล้ว กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ จึงควรตระหนักและคำนึงถึงประเด็นในเรื่องความสอดคล้องทางนโยบายเป็นสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการค้าและการสาธารณสุข
เมื่อเจ็ดปีที่ตอนที่เริ่มการเจรจาเอฟทีเอระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป
มีการอ้างความจำเป็นที่ต้องเร่งจัดทำเอฟทีเอ เพื่อไม่ให้สินค้าไทยถูกตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP)
อย่างไรก็ตาม จากงานวิจัยของสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนาพบว่า แม้สินค้าบางรายการของไทยถูกตัด GSP ไปแล้ว
แต่การส่งออกไม่ได้ลดลง
สินค้าส่งออกบางรายการกลับเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งตัวเลขการลงทุนของสองฝ่ายก็ไม่ได้ลดน้อยลง
ดังนั้น จึงควรมีการทบทวนงานศึกษาและข้อมูลของทั้งหน่วยราชการและภาคเอกชนที่สนับสนุนให้เร่งเจรจา
เพราะอาจมีอคติ
และให้ข้อมูลตัวเลขด้านผลกระทบในกรณีที่ไทยไม่ทำเอฟทีเอกับสหภาพยุโรปที่รุนแรงเกินจริง
การออกมาตรการรองรับหรือมาตรการเยียวยาใดๆ จากผลกระทบของเอฟทีเอ
ต้องให้ผู้ได้ประโยชน์จากความตกลงฉบับนี้ มีส่วนในการรับผิดชอบต่อผลกระทบและความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน เครือข่ายภาคประชาสังคม และภาควิชาการ พร้อมที่จะสนับสนุนข้อมูลการศึกษาต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกภาคส่วนมากที่สุด
และไม่ปล่อยให้ผลได้กระจุก ผลเสียกระจาย ดังที่เคยเป็นมา
นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล
รองประธานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน
อาจจะไม่สนุก ยาวยืดยาด
แต่ควรให้เวลากับเนื้อหาจดหมายทำนองนี้บ้าง
ด้วยเป็นสิ่งที่ไม่ไกลจากตัวเราเลย
โปรดกรุณาอ่าน…