วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร/ สัมพันธ์ เหมยฉางซู เหมิงจื้อ (11)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

สัมพันธ์ เหมยฉางซู เหมิงจื้อ (11)

 

การเปิดตัวเหมิงจื้อก็เหมือนกับการเปิดตัวหนีหวงจวิ้นจิน นั่นก็คือ มากไปด้วยเงื่อนงำ นั่นก็คือ มากไปด้วยข้อแคลงคลาง กังขา

“ซูเจ๋อรึ” ราชองครักษ์เหมิงเอ่ยทวนชื่อ

มองดูเฟยหลิวก่อนหันกลับมาทางบุรุษหนุ่มที่ดูอย่างไรก็ไม่ขัดนัยน์ตาคนนี้อีกครั้ง หัวเราะแล้วจึงกล่าว

“คุณชายมีผู้คุ้มกันฝีมือสูงส่งเช่นนี้คิดว่าคงมีสถานะอันใดเหนือกว่าผู้อื่นกระมัง”

“หามิได้” เหมยฉางซูยิ้มอย่างเปิดเผย “ผู้น้อยแค่บังเอิญช่วยเหลือเฟยหลิวในขณะที่กำลังประสบภัยพอดี ดังนั้น เขาสำนึกบุญคุณคอยติดตามข้างกายตลอดมา มิใช่ผู้น้อยมีคุณสมบัติสูงส่งอันใดที่จะออกคำสั่งยอดฝีมือเช่นเขาได้”

“เป็นเช่นนั้น” ราชองครักษ์เหมิงสีหน้าราบเรียบ

ไม่ทราบเชื่อคำพูดหรือไม่ แต่ก็มิได้ซักไซ้ต่อ เซี่ยวอวี้มองเซียวจิ่งรุ่ยแวบหนึ่ง มิได้พูดจา ก่อนหันไปผายมือเชิญราชองครักษ์เหมิงเข้าสู่ห้องโถง จากนั้นทั้ง 2 ก็เดินเคียงกันไป

ที่คั่งค้างอยู่มิใช่เหมยฉางซู หากแต่เป็นเซียวจิ่งรุ่ย เป็นความคั่งค้างพร้อมกับคำถาม “ท่านทราบหรือไม่ ราชองครักษ์คนเมื่อครู่เป็นใคร”

 

เหมยฉางซูแววตาสงบนิ่ง ถอนใจคำหนึ่ง “ในเมืองหลวงมีราชองครักษ์สักกี่คนที่หนิงกั๋วโหวให้ความเกรงใจปานนี้ ทั้งยังมีพลังฝีมือล้ำเลิศอีก แน่นอน ย่อมเป็นขุนพลชั้นหนึ่ง ประจำ 9 ประตูนครหลวง บัญชาการทหารองครักษ์ 5 หมื่น สมุหราชองครักษ์นามเหมิงจื้อ”

คำถามจากเซียวจิ่งรุ่ยคือ “นอกจากเป็นสมุหราชองครักษ์แล้วยังเป็นอะไรอีก”

“ในยุทธภพฝีมือเพียงเป็นรองเสวียนปู้แห่งแคว้นต้าอวี๋ แต่นับเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของต้าเหลียงในเวลานี้”

“ใช่แล้ว ท่านคิดดู ผู้คุ้มครองท่านคนหนึ่งถึงขนาดต่อกรกับยอดฝีมืออันดับ 1 ของต้าเหลียงได้”

“เหมิงจื้อ เมื่อครู่ออมมือไว้ มิได้ใช้พลังทั้งหมด”

“จริงอยู่ เมื่อครู่เขาออมมือ แต่ถึงเป็นเช่นนั้นอย่างไรเขาก็เป็นถึงยอดฝีมืออันดับ 1 เฟยหลิวสามารถต้านรับพลังฝ่ามือเขาได้หลายกระบวนท่าโดยไม่พ่ายแพ้ นี่ก็สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนมากพอแล้ว

บิดาข้าเป็นชนชั้นระดับไหน ถ้าเชื่อที่ข้าบอกท่านเป็นชาวยุทธ์ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งก็แปลกแล้ว”

ความสงสัยของเซี่ยอวี้ต่อเหมยฉางซูย่อมบังเกิดขึ้นแน่นอน แต่จะเกิดขึ้นกระทั่งนำไปสู่การโยงยาวไปยังเหมิงจื้อด้วยหรือไม่

 

ต้องยอมรับว่าเซียวจิ่งรุ่ยซื่ออย่างยิ่ง จึงมองแต่เพียงปรากฏการณ์ ไม่สามารถคลำลึกไปยังร่อยรองบางร่องรอยอันดำรงอยู่

แม้ว่าเหมยฉางซูก็มิได้ปิดบังอำพราง

ความสงสัยซึ่งกลายเป็นประเด็น กลายเป็นคำถามจากปากของเซียวจิ่งรุ่ย ปรากฏว่าเหมยฉางซูตอบได้หมดสิ้นอันเกี่ยวกับเหมิงจื้อ

แท้จริงแล้วทั้ง 2 มิได้แปลกหน้าต่อกันเลย

“ท่านมาครั้งนี้ทำไมไม่ส่งข่าวถึงข้าก่อน ตอนนี้ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรสักอย่างจะช่วยท่านได้อย่างไร”

“ท่านจะช่วยข้า” รอยยิ้มเหมยฉางซูแฝงแววเฉื่อยชา

“ตอนนี้ท่านเป็นถึงผู้บัญชาการทหารองครักษ์คนโปรดขององค์จักรพรรดิ ไยต้องมาลำบากเพื่อข้า ขอแค่แสร้งเป็นไม่รู้จักข้าก็นับว่าช่วยได้มากแล้ว”

เหมือนกับเมื่อตอนอยู่เบื้องหน้าเซี่ยอวี้ และเซียวจิ่งรุ่ย

เหมิงจื้อกัดฟันกรอด หว่างคิ้วออกอาการขุ่นมัว “คำพูดนี้ท่านกล่าวด้วยใจจริงแล้วหรือ ท่านเห็นข้าเหมิงจื้อเป็นชนชั้นใด”

เหมยฉางซูเผยรอยยิ้มเบาบางจนแทบมองไม่ออก

ยกมือกดที่บริเวณข้อพับแขนของเหมิงจื้อ ออกแรงบีบเล็กน้อย เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “พี่เหมิง ความปรารถนาดีของท่าน ข้าไหนเลยไม่เข้าใจ ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเราเคยร่วมรบเคียงบ่าในตอนนั้น เฉพาะแค่อุปนิสัยรักความเป็นธรรมของท่านก็คงไม่อาจนิ่งดูดาย

แต่สิ่งที่ข้าจะทำไม่มีแผนการล้ำเลิศอะไร จึงไม่อยากลากท่านเข้ามา เกิดพลาดพลั้งความภักดีหลายยุคสมัยของตระกูลเหมิงเกรงว่าจะพังทลายในชั่วข้ามคืน”

แท้จริงแล้วเหมยฉางซูมีแผนการอะไร

 

จากบทที่ 1 แรกเยือนนครหลวง เข้าสู่บทที่ 2 ฉายแววอัจฉริยะ เข้าสู่บทที่ 3 ประลองเลือกคู่ เมื่อเข้าสู่บทที่ 4 อัจฉริยะฉีหลิน ถือได้ว่าเป็นการนำร่อง

แต่พอถึงบทที่ 5 อดีตที่พร่าเลือน ก็เริ่มแจ่มชัด

แจ่มชัดในสายสัมพันธ์ แจ่มชัดในแผนการที่เหมยฉางซูเข้าสู่นครหลวง