ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 กันยายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | เสฐียรพงษ์ วรรณปก |
เผยแพร่ |
สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (24)
พระภิกษุรูปแรกที่ลักของชาวบ้านจนเป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติปาราชิกข้อที่ 2 (ห้ามลักทรัพย์) คือ พระธนิยะ ชาวเมืองราชคฤห์
ก่อนหน้านี้อาจมีพระภิกษุลักทรัพย์หรือถือเอาของที่เจ้าของเขาไม่ให้ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเท่ากับท่านธนิยะ
ใหญ่ขนาดไหน ก็ขนาดลักไม้จากโรงงานไม้หลวงเลยทีเดียว
เรื่องราวมีมาดังนี้ ขอรับ
ท่านธนิยะนี้เป็นช่างก่อสร้างมาก่อน บวชเข้ามาแล้วก็สร้างกุฏิทำด้วยดินเผาตกแต่งภายนอกภายในสวยงามตามประสาช่าง
พระสงฆ์องค์เจ้าเดินผ่านไปมาก็เข้ามาชม ต่างก็สรรเสริญในความเก่งของท่านธนิยะ
แต่พระคุณเจ้าที่ท่านมีศีลาจารวัตรเคร่งครัดพากันตำหนิท่านธนิยะว่าไม่ควรสร้างกุฏิสวยงามอย่างนี้
ความทราบถึงพระกรรณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เสด็จมาทอดพระเนตรกุฏิอื้อฉาวนี้ด้วยพระองค์เอง แล้วตรัสเรียกพระธนิยะมาตำหนิโดยประการต่างๆ ทรงสั่งให้ทุบทำลายกุฏิของพระธนิยะเสีย
เมื่อกุฏิสวยงามที่สร้างมากับมือถูกพระพุทธองค์รับสั่งให้ทำลาย พระธนิยะคิดจะสร้างกุฏิไม้แทน จึงไปยังโรงไม้หลวง บอกคนเฝ้าโรงไม้หลวงว่าจะมาขนไม้ไปสร้างกุฏิ
“ไม้นี้เป็นของหลวงนะขอรับ” คนเฝ้าโรงไม้ทักท้วง
“อาตมาทราบแล้ว” พระหนุ่มตอบอย่างสงบ
“ไม้หลวงเป็นสมบัติของพระราชานะครับ พระองค์ทรงพระราชทานหรือยัง”
“พระราชทานเรียบร้อยแล้ว โยม”
เมื่อพระภิกษุหนุ่มยืนยันว่าไม้นี้ได้รับพระราชทานจากในหลวงแล้วก็มอบให้ภิกษุหนุ่มขนไป
วันหนึ่งวัสสการพราหมณ์ ปุโรหิตแห่งพระราชสำนักเมืองราชคฤห์เดินทางมาตรวจโรงไม้ เห็นไม้หายไปจำนวนมาก จึงซักถามคนเฝ้า คนเฝ้าบอกว่าพระสมณศากยบุตรรูปหนึ่งเอาไป บอกว่าได้รับพระราชทานแล้วด้วย
วัสสการพราหมณ์จึงไปกราบทูลถามพระเจ้าพิมพิสารถึงเรื่องนี้ พระเจ้าพิมพิสารรับสั่งให้นิมนต์พระธนิยะเข้าไปในพระราชวัง ตรัสกับภิกษุหนุ่มว่า
“นัยว่า พระคุณเจ้าเอาไม้หลวงไปจำนวนหนึ่ง เป็นความจริงหรือไม่”
“เป็นความจริง มหาบพิตร” ภิกษุหนุ่มตอบ
“ไม้เหล่านั้นเป็นของหลวง คนที่ได้รับอนุญาตจากโยมเท่านั้นจึงจะเอาไปได้ โยมมีภารกิจมากมายจำไม่ได้ว่าเคยออกปากถวายไม้แก่พระคุณเจ้าเมื่อใด ขอได้เตือนความจำโยมด้วยเถิด”
“ขอถวายพระพร เมื่อพระองค์ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกนั้น พระองค์ตรัสว่า ต้นไม้และลำธารทั้งหลาย ข้าพเจ้ามอบให้แก่สมณชีพราหมณ์ผู้ทรงศีล ขอจงใช้สอยตามอัธยาศัยเถิด นี้แสดงว่าพระองค์ได้พระราชทานไม้นี้ให้แก่อาตมาแต่บัดนั้นแล้ว” พระหนุ่มอธิบาย
ถ้าเป็นผู้มีอำนาจสมัยนี้คงฉุนขาด ถึงขั้นสถบว่าคนอย่างนี้ไม่เอามาทำพ่อแน่นอน แต่บังเอิญคู่กรณีของพระในเรื่องนี้เป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน ถึงกิเลสยังไม่หมดสิ้นจากจิตสันดาน ก็เบาบางลงมากแล้ว พระองค์ตรัสด้วยพระสุรเสียงเข้มว่า
“คำกล่าวนั้น กล่าวตามโบราณราชประเพณีในเวลาประกอบพระราชพิธี หมายถึงว่า สมณชีพราหมณ์จะใช้สอยลำธารหรือต้นไม้ใบหญ้าในป่าที่ไม่มีเจ้าของนั้นสมควรอยู่ แต่ไม้ในโรงไม้หลวงนี้มีเจ้าของหาควรที่สมณะจะเอาไปโดยพลการไม่ ถ้าเป็นคฤหัสถ์ทำอย่างนี้คงถูกลงอาญาแล้ว แต่เผอิญว่าพระคุณเจ้าเป็นสมณะ จึงไม่เอาโทษ แต่ต่อไปอย่าทำอย่างนี้อีก นับว่าโชคดีนะที่พระคุณเจ้า “พ้นเพราะขน””
คำว่า “พ้นเพราะขน” เป็นสำนวนเปรียบเทียบ สัตว์ที่มีขนคือแพะ กับสัตว์ไม่มีขน มีชะตากรรมแตกต่างกัน เมื่อเขาจะหาสัตว์ไปฆ่าบูชายัญ เขาจะเอาเฉพาะแกะ เพราะแกะมีขนที่เอามาใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มได้ แกะจึงพ้นจากการถูกฆ่าเพราะขนของมัน
ฉันใดก็ฉันนั้น พระหนุ่มลักไม้หลวง แต่พระราชาไม่เอาโทษ ปล่อยไป เพราะทรงเห็นแก่ผ้าเหลือง ด้วยเหตุนี้พระราชาจึงตรัสว่า พระหนุ่มรอดพ้นจากอาญา “เพราะขน”
เหตุเกิดครั้งนี้คงเป็นเรื่องอื้อฉาวพอสมควร ผู้คนคงบอกต่อๆ กันไป ผู้ที่จ้องจับผิดอยู่แล้วก็พากันกระพือข่าวในทางเสียหาย เช่น ไหนพระสมณศากยบุตร คุยหนักว่าสละทุกสิ่งทุกอย่างมาบวชประพฤติพรหมจรรย์ ทำไมลักทรัพย์ของคนอื่น ดังเช่นโจรกระจอกภาคใต้ เอ๊ยทั่วไป
พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องจึงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ตรัสเรียกพระธนิยะผู้เป็นต้นเหตุมาสอบสวน ได้ความสัตย์จริงว่าเธอได้ถือเอาไม้หลวงที่ไม่ได้รับพระราชทานจากพระราชาจริง
ทรงตำหนิว่าพฤติกรรมอย่างนี้ไม่เหมาะสมที่พระสมณศากยบุตรจะพึงกระทำ เพราะไม่เป็นที่เลื่อมใสของคนที่ยังไม่เลื่อมใส และทำให้คนที่เลื่อมใสอยู่แล้วเสื่อมศรัทธา
จึงทรงบัญญัติทุติยปาราชิกว่า “ภิกษุใดถือเอาของที่เขาไม่ให้ราคาตั้งแต่ห้ามาสกขึ้นไป มีโทษหนักเรียกว่าปาราชิก ขาดจากความเป็นพระทันทีที่การกระทำเสร็จสิ้นลง”
เนื่องจากพระธนิยะเป็นคนทำผิดคนแรก พระพุทธองค์ไม่เอาผิด หากให้เธออยู่ในฐานะเป็น “อาทิกัมมิกะ” (ต้นบัญญัติ)
ความหมายก็คือ เอาไว้ให้อ้างอิงในทางชั่วว่า อย่าทำไม่ดีเหมือนพระธนิยะนะ อะไรประมาณนั้น