อาชญากรรม | เปิด 8 ข้อหาทีมฆ่าบิลลี่ “ดีเอสไอ” จ่อจับ 4 ทมิฬ เผยพยานปากเอกมัด เมียเฝ้ารอความยุติธรรม

จับตากันอย่างระทึก สำหรับความคืบหน้าของคดีฆาตกรรมโหด บิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ที่เปลี่ยนแปลงจากคดีคนหายมาเป็นคดีฆาตกรรม

หลังจากพบหลักฐานเป็นชิ้นส่วนถูกเผาป่นในถังน้ำมัน 200 ลิตร ทิ้งน้ำในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

พร้อมทั้งเก็บหลักฐานอย่างละเอียดถี่ยิบเพื่อมัดทีมฆาตกรให้ดิ้นไม่หลุด

ซึ่งการดำเนินการก็คืบหน้าไปจนถึงการรู้จุดเผา รู้จุดเอารถจักรยานยนต์ของบิลลี่ไปทำลาย และรู้ตัวคนทำ อยู่ที่ว่าจะสอบสวนเก็บพยานหลักฐานได้มากน้อยเพียงใด

เมื่อรวมกับสำนวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ภาค 7 ที่ย้ำชัดเจนว่าจากการเช็กวงจรปิดทั้ง 4 จุด ไม่พบการปล่อยตัวหลังถูกควบคุมตัวจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ

ยิ่งใกล้ตัวคนร้ายมากขึ้น

และตามข้อมูลของฝ่ายเจ้าหน้าที่ ก็เตรียมเข้าจับกุมแก๊งคนร้ายถึง 4 คน ซึ่งแต่ละคนโดนข้อหาฉกรรจ์ถึง 8 ข้อหา

รอเวลาของความยุติธรรมที่ใกล้จะมาถึง

จ่อจับ 4-แจ้ง 8 ข้อหาฆ่าบิลลี่

เป็นความคืบหน้าที่ดำเนินไปอย่างรอบคอบ สำหรับการคลี่คลายคดีฆาตกรรมและเผาป่นนายบิลลี่ พอละจี แกนนำนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชนบ้านเกิดมาตลอด แม้จะถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานบุกเผาบ้านและยุ้งข้าว

ซึ่งต่อมานายบิลลี่ถูกควบคุมตัวโดยนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในข้อหามีน้ำผึ้งป่าอยู่ในครอบครอง ซึ่งนายชัยวัฒน์ก็ยอมรับเองว่าควบคุมตัวบิลลี่ขึ้นรถ ก่อนเปลี่ยนใจปล่อยตัวไปกลางทาง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557

น่าสงสัยว่าหลังจากวันนั้นไม่มีใครเห็นตัวบิลลี่อีกเลย

จะมีก็แต่คำกล่าวอ้างของนายชัยวัฒน์เองว่ามีคนเห็นบิลลี่เดินซื้อของอยู่ในตลาดชะอำ

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการสอบสวนก็ต้องดำเนินการตามพยานหลักฐาน

โดยที่ประชุมได้ตรวจสอบข้อมูลพยานหลักฐานสำคัญ พร้อมเตรียมจะออกหมายเรียกกลุ่มผู้กระทำความผิดมารับทราบข้อกล่าวหา 4 ราย

ซึ่งพบว่าทั้งหมดเข้าข่ายการกระทำผิด 8 ข้อหา ประกอบด้วย

1. ฆ่าคนตายตาม ป.กฎหมายอาญา มาตรา 288

2. ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มาตรา 289(4)

3.ย้าย ซ่อนเร้น ทำลายศพ มาตรา 199

4. ไม่มีเหตุอันสมควร ทำให้เสียหาย เคลื่อนย้าย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งศพ ส่วนของศพ อัฐิ หรือเถ้าของศพ มาตรา 366/3

5. ผู้ใดกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น มาตรา 150 ทวิ

6. ปล้นทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มาตรา 340 วรรคห้า

7. หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย มาตรา 310 วรรคสอง

และ 8. เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มาตรา 157

นอกจากนี้ ยังมีรายงานความคืบหน้าในการเก็บพยานหลักฐานว่าล่าสุดพบแล้วถึงจุดที่คนร้ายนำจักรยานยนต์ของบิลลี่ไปทำลาย และยังทราบอีกว่ามีชายชื่อย่อ ด.เด็ก เป็นคนรับผิดชอบ ซึ่งจะเรียกตัวมาสอบสวนว่าที่ดำเนินการไปนั้น มีคำสั่งจากใครกันแน่

ไม่เพียงแค่นั้น ดีเอสไอยังได้พยานปากเอกซึ่งเคยเป็นพยานในคดีเดิม แต่กลับคำให้การใหม่ ซึ่งสามารถมัดกลุ่มที่ก่อเหตุได้อย่างชัดเจน โดยดีเอสไอเฝ้าดูแลพยานรายนี้อย่างดีที่สุด เพื่อป้องกันความปลอดภัย

ยืนยันชัดเจนว่าใกล้ถึงตัวฆาตกร

เมียยังรอคอยความยุติธรรม

ขณะที่ภาคประชาสังคมก็ยังเคลื่อนไหวกดดันให้คดีเดินหน้าโดยไว

โดยเมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่บริเวณหอศิลป์กรุงเทพฯ ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อสังคมนิยมประชาธิปไตยและเครือข่ายศิลปินจัดกิจกรรมแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ ใส่เสื้อชนเผ่าพื้นเมืองเพื่อแสดงถึงการปกป้องคุ้มครองสิทธิในทางกฎหมาย ชีวิต และวัฒนธรรมของพี่น้องชาติพันธุ์ทุกชนเผ่า และเพื่อแสดงพลังเกาะ “คดีอุ้มฆ่าบิลลี่” โดยในงานมีการเสวนา มีผู้เข้าร่วม อาทิ นายนิติพล ผิวเหมาะ ส.ส.กลุ่มชาติพันธุ์ พรรคอนาคตใหม่ นายสุรพงษ์ กองจันทึก อดีตประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนเผ่า นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย

พร้อมร่วมกันอ่านประกาศเจตนารมณ์ ปกป้องคุ้มครองสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองและติดตามคดีอุ้มฆ่าบิลลี่

ขณะที่เมื่อวันที่ 16 กันยายน ที่มหาวิทยาลัยรังสิต คณะวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่าย จัดพิธีรำลึกถึงบิลลี่ พอละจี ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชนชาวกะเหรี่ยง แต่ถูกฆาตกรรมแล้วเผาทำลายศพในถังน้ำมัน 200 ลิตร ทิ้งไว้ในเขื่อนแก่งกระจาน

โดย “มึนอ” น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของนายพอละจี เปิดเผยว่า หลังจากบิลลี่หายตัวไป 5 ปี ตนและครอบครัวลำบากมาก ต้องทำงานเลี้ยงลูก 5 คน ต้องเดินสายเคลื่อนไหวร่วมกับองค์กรต่างๆ เพื่อติดตามความคืบหน้าของบิลลี่ที่หายตัวไปหลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ จับตัวเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ในวันที่ 18 เมษายน 2557 ตนแจ้งความที่ สภ.แก่งกระจาน แต่ สภ.แก่งกระจานยังไม่รับแจ้งความ โดยให้ผู้เสียหายไปตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเสียก่อน

ต่อมาตนเองเข้ายื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรมที่ศาลากลางจังหวัด ขอให้ย้ายเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ออกนอกพื้นที่ระหว่างการสอบสวนคดี แต่ไม่สำเร็จ จึงไปยื่นหนังสือที่สำนักนายกรัฐมนตรีแต่ก็ไม่มีความคืบหน้า จนรู้สึกว่าความยุติธรรมไม่มีอยู่จริง

วันนี้เมื่อรู้ว่าบิลลี่เสียชีวิตแล้ว ขอบคุณดีเอสไอที่ช่วยติดตามอย่างเต็มที่ ขอฝากคนที่มีกฎหมายอยู่ในมือให้ปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่ควรรังแกคนที่ไม่มีกฎหมายในมือ คุณจับตัวบิลลี่ไปแล้ว ไม่ส่งให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดี ทำให้นายบิลลี่หายตัวไป ภาษาชาวบ้านคือ ใช้ “กฎหมา” อยากบอกว่าทุกคนมีชีวิตและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าไหนๆ ก็อยู่ในประเทศไทยเหมือนกัน เราควรอยู่ร่วมกันด้วยความรักและความเข้าใจ ไม่อยากให้คนที่มีกฎหมายอยู่ในมือ มีอำนาจสูงส่ง คิดว่าตัวเองใหญ่ แต่อยากให้ทุกคนเสมอภาค เท่าเทียมกัน

เป็นความในใจจากเหยื่อผู้สูญเสีย

ย้อนนาทีถูกอุ้มหาย 5 ปี

สําหรับบิลลี่ หรือพอละจี รักจงเจริญ เป็นชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิก อบต.ห้วยแม่เพรียง และเคลื่อนไหวต่อสู้จากกรณีที่ชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ บุกไล่ที่ เผาบ้าน เผายุ้งข้าวเมื่อปี 2554 จนคดีเริ่มจะเข้าสู่ศาล

ต่อมาในวันที่ 17 เมษายน 2557 บิลลี่ขี่จักรยานยนต์สีเหลือง-ดำ ทะเบียน ขพง 998 ออกจากบ้านมุ่งหน้าไปที่ตัวอำเภอแก่งกระจาน เพื่อเตรียมข้อมูลยื่นถวายฎีกาเรื่องความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่ผลักดันให้ออกจากป่า

ระหว่างทางที่บ้านหนองมะเร็ว ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี บิลลี่ถูกเรียกตรวจโดยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ และพบน้ำผึ้งป่า จึงควบคุมตัวไว้ พร้อมวิทยุแจ้งให้นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในขณะนั้นรับทราบ และเดินทางมาสอบสวนบิลลี่ด้วยตัวเอง

ต่อมาวันที่ 18 เมษายน 2557 คนในครอบครัวบิลลี่ร้องเรียนว่าบิลลี่หายไป พร้อมแจ้งความที่ สภ.แก่งกระจาน

ขณะที่นายชัยวัฒน์ระบุว่า เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ตนกลับจากภารกิจที่เขาพะเนินทุ่ง มาถึงจุดตรวจด่านสามยอด ได้รับแจ้งทางวิทยุว่าควบคุมตัวชาวบ้านบางกลอย มีน้ำผึ้งป่าที่เป็นสิ่งหวงห้ามซ่อนอยู่ เมื่อไปถึงพบนายบิลลี่ ขณะนั้นฝนตก จึงให้เจ้าหน้าที่นำบิลลี่และจักรยานยนต์พร้อมของกลางขึ้นรถของตนขับไปที่อุทยานฯ

ระหว่างทางนายบิลลี่ขอร้องให้ปล่อยตัว อ้างว่าซื้อน้ำผึ้งป่ามาจากชาวบ้านแค่ 5 ขวด เป็นความผิดเล็กน้อย แต่ตนไม่เชื่อเพราะบิลลี่มีกระเป๋าใบใหญ่ คาดว่ามีน้ำผึ้งอีกจำนวนมาก ขณะนั้นรถมาถึงบ้านมะค่า ห่างจากด่านมะเร็ว 9 ก.ม. จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่จอดรถ และลงมาค้นสัมภาระอีกรอบ เมื่อไม่พบน้ำผึ้งอีก จึงว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไปพร้อมจักรยานยนต์ จากนั้นกลับไปที่ไร่ราชพฤกษ์เตรียมจัดงานสงกรานต์ย้อนหลัง

อย่างไรก็ตาม ยังมีสำนวนสืบสวนของ บช.ภาค 7 เมื่อ 5 ปีก่อนในคดีคนหาย ซึ่งสรุปในสำนวนว่าไม่พบการปล่อยตัวบิลลี่จากการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

โดยเช็กจากกล้องวงจรปิด 4 จุด ประกอบด้วย จุดที่ 1 จุดพุไทร จุดที่ 2 จุดคุ้มนางพญา จุดที่ 3 จุดร้านสมร และจุดที่ 4 จุดหนองปืนแตก ซึ่งเป็นจุดทางกลับไปไร่ชัยราชพฤกษ์ของนายชัยวัฒน์

นอกจากนี้ จากการจำลองเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นตามคำให้การของพยานก็พบความขัดแย้งทั้งเรื่องช่วงเวลา และจุดที่อ้างว่าปล่อยตัวบิลลี่ จนมีพยานบางปากกลับคำให้การ

เป็นความคืบหน้าที่ต้องติดตาม