อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ท้องฟ้าอึมครึมไร้ดาวส่องประกาย

เมืองในหมอก (21)

หลังกล่าวคำพูดนั้น เม็ดฝนลุกขึ้นออกจากที่นั่ง เธอใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งวักน้ำในสระขึ้นมา

“ความลับอาจอยู่ที่นี่ ใช่หรือไม่ใช่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยเราก็มีหนทางที่จะพิสูจน์มัน เอามันไปมากที่สุดเท่าที่เราจะกระทำได้ กลับไปที่ที่ทำงานของฉัน เราทั้งหมดจะอยู่กับความหวังนี้จนถึงที่สุด”

นายหมอกสีเทาและชายผู้นั้นกลับไปที่รถ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับขวดและภาชนะที่หาได้ อีกราวหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่น้ำในสระถูกบรรจุจนเต็ม พวกเขาก็เริ่มเดินทาง

ในการเดินทางกลับ นายหมอกสีเทาเป็นผู้นำทางโดยมีชายผู้นั้นขับรถตามหลังมา ในรถมีแต่ความเงียบ เม็ดฝนประคองขวดน้ำขวดหนึ่งไว้ในมือ เธอมองตรงไปที่ท้องถนนซึ่งกำลังมืดลงตามลำดับ ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของเธอ มีแต่ลมหายใจที่สะท้อนผ่านทรวงอกที่กระเพื่อมขึ้นลงที่แสดงว่าเธออยู่ในสภาวะแห่งความคิดคำนึงของตนเอง

“อาจเป็นการรบกวน” นายหมอกสีเทาทำลายความเงียบภายในรถ “แต่คุณจะบอกได้ไหมว่า เพราะเหตุใดคุณจึงมีความกังวลขนาดนี้”

เม็ดฝนละสายตาจากท้องถนนมามองนายหมอกสีเทา

“นี่อาจเป็นการออกแรงครั้งสุดท้ายของฉัน” เม็ดฝนตอบ “จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่านี่เป็นการออกแรงครั้งสุดท้ายของฉันในการต่อสู้กับหมอกควันด้านนอกนั้น คุณจะเรียกมันว่ามลภาวะ สิ่งมีอำนาจเหนือที่ควบคุมเรา พี่ใหญ่ที่สอดส่องเราเช่นในนวนิยาย 1984 ทรราชที่รุกรานเราเช่นในนวนิยาย ฟาเรนไฮต์ 451 คุณจะเรียกมันว่าสิ่งใดก็ตาม แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันรู้สึกว่านี่คือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของฉันกับมัน”

“คุณอาจพอรู้ว่าฉันทำงานให้กับหน่วยงานวิจัยที่ต่อสู้กับหมอกควันพิษเช่นนี้ คุณอาจพอรู้ว่าฉันเข้ามาทำงานที่นั่นเพราะเหตุใด แต่คุณคงไม่ทราบว่าทุกครั้งที่ฉันล้มเหลวในการต่อสู้กับมันนั้นมีสิ่งใดที่กัดกร่อนในจิตใจของฉันบ้าง”

“หากชายผู้นั้นมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดกาล ฉันก็มีบางสิ่งที่ไม่อาจบอกกล่าวแก่ใครได้ บางสิ่งที่ฉันเก็บไว้ในใจมาเนิ่นนาน บางสิ่งที่เหมือนดังเชื้อโรคภายนอกที่เข้าสู่ร่างกาย เติบโตและกัดกินฉันอย่างช้าๆ บางสิ่งที่ฉันต่อสู้กับมันมาโดยตลอดและในที่สุดฉันพบว่านี่อาจเป็นการปะทะครั้งสุดท้ายระหว่างฉันกับมัน”

“คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะหยุดรถข้างทางสักครู่ บางทีการพักการเดินทางอาจทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น” นายหมอกสีเทาเอ่ยถาม

“ได้” เม็ดฝนพยักหน้าเบาๆ “ไม่ว่าอย่างไรเราคงไม่เสียเวลามากมายเท่าใดนัก ต่อการสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกนั่น”

 

รถของนายหมอกสีเทาส่งสัญญาณไฟ ก่อนจะแล่นลงจอดยังข้างทาง รถของชายผู้นั้นกระทำดังกล่าวในเวลาต่อมา ท้องฟ้ามืดมิด ไม่มีผู้คน ไม่มีบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียง ไม่มียานพาหนะอื่นอีก หมอกควันสีเทาทำให้ท้องฟ้าเป็นดังฉากสีน้ำเงินขนาดใหญ่ ไม่มีดวงดาว ไม่มีแสงจันทร์ โลกทั้งใบถูกคลุมด้วยฉากสีน้ำเงินขนาดใหญ่ที่ปราศจากขอบเขตและพรมแดน

ทั้งสามคนนั่งเรียงกันบนพื้นถนน มองออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่เสมือนจะไม่มีอยู่จริง เม็ดฝนหยิบขวดน้ำในมือขึ้นแนบกับสายตา ในขณะที่นายหมอกสีเทานอนราบลงกับพื้น ชายผู้นั้นทำตามนายหมอกสีเทา เขาทอดขาเหยียดยาวก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้เห็นดวงดาว?”

ไม่มีคำตอบ นายหมอกสีเทารู้ดีว่ามันเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เขาจ้องมองไปที่ท้องฟ้าเบื้องบน และขณะนั้นเองที่เขาตระหนักได้ว่าลมหายใจของเขาเต็มไปด้วยความปกติ หมอกควันพิษภายนอกราวกับได้สูญสิ้นอำนาจของมัน เขาหายใจได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหน้ากากป้องกันใดๆ

“สามปีเต็มสำหรับฉัน” เม็ดฝนเอ่ย “ฉันไม่ได้เห็นดวงดาวมาเป็นเวลาสามปีเต็ม แต่สำหรับแสงสว่าง มันเนิ่นนานกว่านั้น”

เม็ดฝนวางขวดน้ำในมือลงกับพื้น เธอเอนกายลงนอนกับพื้นเช่นกัน

 

“ในวันที่ฉันมีอายุได้ห้าปีเต็ม วันนั้นฉันเชื่อว่าฉันได้มีความทรงจำแรกที่จดจำได้ มีคนเคยบอกฉันว่าบางทีอาจมีเด็กที่อายุน้อยกว่าห้าปีที่จำเรื่องราวในอดีตของพวกเขาได้ แต่สำหรับฉันช่วงเวลาก่อนฉันมีอายุห้าปี ฉันจำสิ่งใดไม่ได้เลย ไม่ว่าจะทดลองหรือใช้วิธีการใดๆ ฉันพบว่าฉันไม่มีความทรงจำก่อนหน้านั้น สำหรับฉันแล้ววันที่ฉันมีอายุห้าปีคือความทรงจำแรกของฉัน”

“เช้าวันนั้น ฉันจำได้ว่าฉันตื่นขึ้นแต่เช้า แม่ของฉันตื่นขึ้นก่อนฉัน ปรุงอาหารเช้า เตรียมเสื้อผ้าให้ฉันไปโรงเรียน ฉันจำอาหารมื้อเช้าวันนั้นได้ อาหารเรียบง่ายเพียงไข่ที่ถูกเจียว ใส่หอมหัวใหญ่และข้าวต้มที่มีเนื้อกุ้งผสม ฉันทานอาหารเช้าจนหมด เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักเรียน ก่อนจะออกเดินไปโรงเรียนกับแม่ โรงเรียนของฉันอยู่ไม่ไกลนักจากบ้านของเรา บ้านชนบทของเรา ถนนที่ผ่านหน้าบ้านของเราคือถนนที่ทอดยาวไปยังโรงเรียนของฉัน เราทั้งคู่เดินไปด้วยกันอย่างช้าๆ เสียงนกร้อง เสียงของผู้คนที่ออกมาจับจ่ายซื้อของ มันเป็นโลกที่เรียบง่ายเช่นนั้นในเช้าวันนั้น”

“ฉันจำได้ถึงบทสนทนาระหว่างเราในเช้าวันนั้น แม่เล่าให้ฉันฟังว่าในวัยที่เท่ากับฉัน ยายได้เป็นคนพาแม่ไปโรงเรียนอย่างใดบ้าง ฉันซักถามแม่ถึงรูปลักษณ์ของยาย ถึงหน้าตาของยาย แม่รับปากว่าแม่จะหารูปของยายไว้ให้ฉันดูเมื่อฉันกลับจากโรงเรียน แต่แล้ว สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย”

 

เม็ดฝนหยิบขวดน้ำขึ้นแนบกับสายตาอีกครั้งหนึ่ง

“ในขณะที่เรากำลังจะเดินทางถึงโรงเรียนนั้นเอง ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดมิดลง ฝูงนกพากันบินกลับรัง แสงแดดหลุบลง ดวงอาทิตย์คล้ายดังถูกครอบงำด้วยเงามืดสีดำ เป็นเวลาหลังจากนั้นที่ฉันได้เรียนรู้ว่ามันคือปรากฏการณ์สุริยุปราคานั่นเอง”

“แม่กับฉันหยุดนิ่งอยู่ที่ท้องถนน แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ความมืดที่ปรากฏตนชั่วครู่ทำให้ฉันรู้สึกตื่นตะลึง แต่สิ่งที่ชวนให้ตื่นตะลึงกว่านั้นคือการที่ฉันมองเห็นดวงดาว”

“ภาพของดวงดาวที่ฉันมองเห็นนั้นสว่างไสว สวยงามเป็นประกาย ดาวแต่ละดวงส่งแสงระยิบระยับราวกับหิ่งห้อยขนาดใหญ่ อีกทั้งดวงดาวแต่ละดวงยังโผบินได้ไม่ต่างจากหิ่งห้อยด้วยซ้ำไป ภาพที่ฉันเห็นแทบไม่ต่างจากภาพเขียนของศิลปินชาวดัตช์คนหนึ่ง ท้องฟ้าสีน้ำเงิน ม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่น ดวงดาวระยิบระยับที่มีแสงในตัวเองที่ไม่เหมือนดวงดาวดวงอื่น ท้องฟ้าที่ปรากฏต่อสายตาของฉันในขณะนั้นช่างแลดูไม่สมจริง แต่สำหรับฉันแล้วมันกลับเป็นความจริงอย่างที่สุด”

“ราวสิบนาทีทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ พวกเราเดินทางต่อไปจนถึงโรงเรียน ฉันเข้าเรียนจนถึงเวลาเย็น แม่มารับฉันกลับบ้าน ฉันนั่งทำการบ้านตลอดเย็น แต่แล้วเมื่อถึงเวลาค่ำ ฉันแหงนมองท้องฟ้า ภาพท้องฟ้าแบบเดิมที่ไม่ต่างจากภาพเขียนก็ปรากฏขึ้นอีก ท้องฟ้ายามค่ำสำหรับฉันเต็มไปด้วยแสงและสีอันน่าตื่นตะลึง ดวงดาวระยิบระยับ ดวงจันทร์สีเหลืองนวล ผืนฟ้าสีน้ำเงินที่คล้ายดังเกลียวคลื่น”

“ฉันเล่าสิ่งที่เห็นให้แม่ฟังแต่แม่ไม่เชื่อในสิ่งเหล่านั้นเลย”

 

“หลังจากนั้น ฉันกลายเป็นเด็กที่ผิดปกติ เสียงเล่าลือถึงความผิดปกติของฉันมากขึ้นทุกทีจนในที่สุดฉันไม่อาจเรียนหนังสือในโรงเรียนได้อีกต่อไป ฉันกลายเป็นเด็กที่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน แหงนมองท้องฟ้ายามค่ำทุกครั้งที่มีโอกาส ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับแม่เลวร้ายลง และยิ่งเรามีกันเพียงสองคน ทุกสิ่งจึงลำบากและยากเย็นขึ้นอีก แม่เริ่มโทษว่าฉันเป็นตัวการที่ทำให้ชีวิตของเราย่ำแย่ ในที่สุดแม่ส่งตัวฉันไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กและหายสาบสูญไปจากชีวิตของฉันนับแต่นั้นมา”

“หลังจากย่างเท้าเข้าไปในสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันนึกถึงใบหน้าของแม่ไม่ได้อีกเลย ฉันอยากนึกถึงใบหน้าของแม่ ใบหน้าของยาย ใบหน้าของใครสักคนจากครอบครัวของฉัน แต่ไม่มี ภาพที่ฉันเห็นยามนึกถึงพวกเขาคือภาพของยามค่ำอันเต็มไปด้วยแสงสีระยิบระยับ ภาพที่เมื่อฉันแหงนมองท้องฟ้าในยามค่ำและเป็นเช่นนั้น ฉันคิดว่าฉันคงเห็นท้องฟ้าในยามค่ำเป็นแบบนั้นไปตลอดกาล

จนเมื่อสามปีก่อนที่หมอกควันเข้าปกคลุมเมืองของเราที่ฉันแหงนมองท้องฟ้าและพบว่ามันไม่มีดวงดาว ไม่มีภาพแบบเดิม