การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ในห้วงหมอกยุบยวบที่มีกลิ่นของฟองสบู่

พี่ชุนลงไปนั่งคุกเข่า ปลดกระดุมเสื้อแถวสุดท้ายให้ แล้วมือก็ป่ายถึงขอบกางเกง

“ไม่พี่” ฉันส่ายหน้า รีบยึดมือที่ใหญ่กว่าไว้

มีเสียงหัวเราะทันควัน

“นึกแล้ว ทำเป็นเก่งไปงั้น”

อดหน้าร้อนไม่ได้ ฉันเงอะงะขึ้นมา แล้วก็รวบเอาชายเสื้อกลับมาปิดตัวอย่างเก่า แม้ว่าอีกฝ่ายจะเห็นยกทรงที่สวมอยู่แล้วก็ตาม

“เดี๋ยวเราถอดเองได้”

“งั้นก็รีบไป…ไปสิ อาบน้ำก่อน ในห้องน้ำมีผ้าเช็ดตัวแล้ว”

“ทำไมต้องอาบด้วย”

“น่า จะได้สบายตัว นั่งรถมาตั้งไกล ไม่ต้องกลัวอะไรหรอกน่ะ แล้วค่อยออกมานุ่งผ้าข้างนอก…ไปสิ”
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่ตัวเอง ความรู้สึกยังคงสับสนปนเปไปหมด

แรกขึ้นมา…ครั้นถึงห้องหับประตูลงกลอนดีแล้ว จู่ๆ เจ้าของสถานที่ก็เข้ามาประชิดตัว หอมแก้มแล้วพูดเบา

‘มา พี่จะแก้เสื้อให้’

ฉันควรตกใจ แต่ก็ไม่…อะไรบางอย่างบอกว่า มันผิดไปจากคาดหมาย แต่ก็ไม่ได้นอกเหนือจากที่คิดว่าอาจจะเกิดขึ้น ในส่วนลึกของใจอดยิ้มเยาะตัวเองไม่ได้…เห็นไหม ก็เป็นอย่างที่กำลังจะเป็น

เราทุกๆ คนล้วนแต่เล่นอยู่กับโชคชะตาทั้งนั้นแหละ

แต่ว่า…เมื่อเสี้ยวหนึ่งของสติกลับมา การปกป้องตัวเองตามสัญชาตญาณก็เกิดขึ้น…แต่ก็นั่นแหละ จะเร็วหรือช้า หาก ‘มิตรแปลกหน้า’ คนนี้ไม่รังเกียจฉัน เดี๋ยวเราก็จะเอากันอยู่ดี

 

เสียงปิดประตูเบาๆ บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายออกจากห้องไป ฉันปิดประตูห้องน้ำบ้าง แล้วเปลื้องผ้าทุกชิ้นออกพาดบนราว

ห้องน้ำของพี่ชุนดูหรูหราไม่เบา นั่นเพราะอย่างแรกเห็นมีทั้งฝักบัวและโถชักโครกแบบกดก้าน นอกจากนั้น ยังมีขวดแชมพู ก้อนสบู่ ฟองน้ำถูตัว แลดูสะอาดตา นึกออกอีกอย่างว่าในห้องของมิตรใหม่คนนี้ แม้จะมีฝุ่นจับอยู่ตามขอบหน้าต่างและซี่เหล็กดัดบ้าง แต่เครื่องนอนหมอนผ้าห่มพับไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยดี

เปิดฝักบัว กระแสน้ำไหลพรั่งพรูลงมา เทน้ำยาสระผมจากขวดชโลมบนหัว ขยี้จนเกิดฟองฟอด จากนั้นก็ล้างออก หยิบสบู่ถูเอาฟอง ฟอกตัวทุกซอกมุม

ความเย็นของน้ำ ความนุ่มนวลของฟองหอมๆ ทำให้ผ่อนคลายขึ้นได้จริงๆ กลิ่นละม้ายดอกไม้อบอวลไปทั้งห้อง จังหวะหนึ่งฉันหลับตา อดคิดไม่ได้ว่า เพียงเสี้ยวหนึ่งที่รู้สึกมีความสุขแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน

 

ใช้ผ้าเช็ดตัวจนแห้งหมาดดี คว้าเสื้อผ้าลงจากราว แต่พอจะเอาสวมก็นึกได้ว่า มันน่าจะอมฝุ่นอยู่มาก จึงสลัดผ้าแรงๆ เสียก่อน

หากยินเสียงร้องสวนมาทันที

“ไม่ต้องนุ่งตัวเดิมนะ มาเอาผ้าข้างนอก!”

ฉันชะงัก แล้วก็ยินเสียงเคาะประตูทันควัน

“น้อง ออกมาได้เลย ไม่ต้องนุ่งผ้าเก่า”

ละมือจากเสื้อผ้าตัวเอง ฉันตัดสินใจถอดกลอน พอออกจากห้องน้ำก็เห็นเจ้าของห้องยืนรอท่า

บนเตียงมีผ้าสองผืนพาดรอ เป็นเสื้อยืดตัวหนึ่ง กางเกงขาสั้นอีกตัวหนึ่ง

“เอาไปใส่ ถ้าจะออกไปข้างนอกค่อยเปลี่ยนอีกชุดหนึ่ง”

“…เรานุ่งตัวเก่าได้”

“สาบฝุ่นจะตาย” พี่ชุนว่า “นั่งรถมาตั้งไกล เหนียวเหงื่อหมดแล้ว ข้างล่างมีร้านซักรีด ไว้ค่อยให้เขาเอาไปจัดการ…เสร็จแล้วมากินข้าวกัน”

มีโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ อยู่บนพื้นหน้าเตียง จานข้าวผัดใส่ไข่ดาวเต่งตูมวางคู่ ฉันนึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก

คนคนนี้มีน้ำใจและคิดถึงจิตใจคนอื่น…

…หวังว่ามันจะเป็นเช่นนี้ไปตลอด และเป็นนิสัยจริงๆ…

 

เรานั่งกินข้าวกันเงียบๆ ท่าทางมิตรใหม่จะหิวมากกว่าฉัน ปากเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ แล้วกินน้ำตามอึกๆ
อยู่ไปได้พักใหญ่ ฉันก็คุ้นเคยกับห้องแปลกหน้าขึ้นทีละน้อย นอกจากข้าวของต่างๆ ยังมีพัดลมตั้งพื้นอีกตัว ตู้เสื้อผ้าไม้อัด กาต้มน้ำร้อนกับถ้วยจานชามอีกสองสามใบ เป็นห้องพักที่สะดวกสบายอยู่มาก และแสดงให้เห็นว่า เจ้าของห้องย่อมจะมีสตางค์ทีเดียว

“อิ่มมั้ย เอาอะไรอีกหรือเปล่า ผัดไทย ผัดหมี่ เขาก็ทำได้นะ”

“พอแล้วค่ะ” ฉันผลักจานออกบ้าง “กี่โมงแล้วนี่”

“ถามเรื่องเวลาทำไม”

“รถเที่ยวสุดท้ายจะหมดใกล้ๆ ห้าโมง”

พี่ชุนมองหน้าฉัน ยิ้มใส่ตา

“ช่างรถสิ”

“…ก็เราต้องกลับ”

“ยังไม่ต้องกลับหรอก พี่ลางานไว้แล้ว เดี๋ยวคืนนี้จะพาไปเที่ยว”

“เที่ยวไหน”

“อยากไปไหนบ้างล่ะ ไนท์บาร์ซ่ามั้ย ถ้ากาดหลวงต้องไปกลางวัน”

…ไนท์บาร์ซ่า แสงไฟวาบวับเข้ามาในความทรงจำ ฉันส่ายหน้า

“ไม่ได้อยากไป…ไปก็ไม่รู้จะซื้ออะไร”

“ไม่ได้ต้องไปซื้อของนี่ ไปเดินเล่นเดินแอ่ว”

“เฉยๆ ค่ะ ไม่อยากไป”

“อยากไปไหนบ้างในเชียงใหม่”

ฉันนิ่งคิดอยู่นาน ถามตัวเองไปกับคำถามนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่มีสิ่งที่คิดออกสักอย่าง

“…ไม่มี”

“ร้านสมุดหนังสือล่ะ ไม่อยากไปหรือ”

คราวนี้ฉันสนใจขึ้น…จริงสิ ร้านหนังสือ

“เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้พี่เป็นไกด์เอง วันนี้สบายๆ กันนะ”

“พี่…” ฉันขยับตัว “เราเอาสตางค์มาคืนด้วย อยู่ในกางเกง”

“รู้แล้วน่า เอาไว้ก่อน” อีกฝ่ายคว้าข้อมือฉันไว้

 

การอาบน้ำแล้วทำให้รู้สึกสบายตัวขึ้น พร้อมกันนั้น ฉันก็รู้สึกดีขึ้นเมื่อแน่ใจว่าตัวเองคงจะไม่มีกลิ่นเหม็นสาบเหม็นเปรี้ยวอีกแล้ว

แต่ทั้งที่คิดว่า…ในไม่ช้า อีกฝ่ายจะต้อง ‘เริ่ม’ ทำอะไรสักอย่าง แต่คนแปลกหน้าที่กำลังจะคุ้นเคย ก็ยังไม่ทำอะไรสักอย่างสักที

เมื่อเห็นฉันไม่ขยับตัวอีก มือขาวก็ละจาก

“อิ่มแล้วเริ่มง่วง” มิตรคนใหม่พูด “ปกติพี่นอนกลางวันเพราะทำงานกลางคืน แต่วันนี้ก็ต้องลุกแต่เช้า…จะงีบสักหน่อยดีกว่า”

“จานข้าวล้างที่ไหน…”

“เอาไปวางหน้าห้อง เดี๋ยวเขาจะมาเก็บเอง”

 

เสียงหายใจดังสม่ำเสมอ คนผิวขาวผ่องใสเหยียดตัวหลับไปแล้วอย่างง่ายดาย ในห้องไม่ร้อนอบอ้าวเท่าใดนัก อาจเพราะหน้าต่างที่เปิดกว้าง กับพัดลมหมุนส่ายตลอดเวลา

เป็นบรรยากาศที่แปลกดี กับการอยู่ในห้องของคนแปลกหน้า แต่ก็อย่างช้าๆ ที่ฉันค่อยคุ้นขึ้นเรื่อยๆ เริ่มหายใจได้อย่างผ่อนคลาย สายตาสำรวจดูไปรอบๆ

เป็นห้องเช่าขนาดกลาง ไม่แคบอย่างหลายห้องที่เคยเห็น แต่ก็ไม่ได้กว้างใหญ่จนเกินไปนัก อยู่ไม่เกินสองคนกำลังดี

ใจเต้นตึกขึ้น…แล้วถ้า…ตัวฉันย้ายมาอยู่ด้วยที่นี่ มันจะเป็นยังไง

พี่ชุนดูจะหลับสนิทไปแล้วจริงๆ แก้มเบียดกับหมอน เห็นหัวคิ้วย่นนิดๆ ในเสื้อผ้าหลวมๆ ไม่ได้ใส่ยกทรงกางเกงใน ฉันเข้าไปชะโงกดูหนหนึ่ง

…ลังเล แต่แล้วก็ลองยื่นมือไปแตะ สัมผัสผมปอยหนึ่งที่ระใบหน้า นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ถามตัวเองว่ากำลังรู้สึกยังไง

ในหัวยังคงว่างเปล่า ทั้งที่ตอนนั่งมาในรถมีอะไรบางอย่างก่อตัวขึ้น แต่ตอนนี้มันก็เหือดหายไป คนอื่นจะเข้าใจฉันมั้ย ความใช่กับความไม่ หลายครั้งไม่อาจจับได้ไล่ทัน แม้แต่ตัวฉันยังไม่เข้าใจตัวเองสักนิด

แล้วถ้าจะลอง…ฉันมองหาความเป็นไปได้ จากอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนการเป็นเพียงลูกโป่งจิ๋วๆ

กำลังลอยอยู่ในอากาศ ฉันเป็นลูกโป่งจากละอองฟองสบู่ หากใครสักคนเป่าลมแรงๆ ก็คงแตกวับได้อย่างง่ายดาย

 

อาจเป็นความคิดที่ยุ่งเหยิงปนเปในหัว และอารมณ์อันไม่สามารถแยกแยะออกมาได้ ณ ตอนนั้น ฉันจึงก้าวขาขึ้นเตียงบ้าง แล้วนอนลงข้างๆ ร่างที่กำลังหลับใหล

ที่นอนมีไออ้าวกว่าที่คิด หากนอนบนพื้นคงจะเย็นสบายกว่า แต่คนบนฟูกก็ยังไม่ไหวติงแม้แต่น้อย จนเมื่อหัวแตะลงบนหมอนบ้าง แขนข้างหนึ่งของมิตรใหม่จึงค่อยพาดทับมา

…เริ่มร้อน นั่นคือความรู้สึกเกิดใหม่ แต่ต่อมาก็ผ่อนคลายลงอีกครั้ง ฉันขยับตัวเบียดร่างเข้าไปอีก และแล้วความสำนึกรู้ทั้งหมดก็หายไป

ฉันจมหายไปในห้วงหมอกยุบยวบที่มีกลิ่นของฟองสบู่อ่อนๆ