ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 กันยายน 2562 |
---|---|
เผยแพร่ |
โฟกัสพระเครื่อง/โคมคำ komkam.ks@gmail.com
พระนาคปรกใบมะขาม
หลวงพ่อเงิน ธัมมปัญโญ
วัดท้ายตลาด บางกอกใหญ่
“หลวงพ่อเงิน ธัมมปัญโญ” หรือพระสนิทสมณคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ด้วยความมีศีลาจารวัตรงดงาม เมตตาธรรม และสมถะ
ทรัพย์และปัจจัยใดๆ ที่ได้มานั้น จะนำไปทำนุบำรุงและบูรณะเสนาสนะต่างๆ ทุกครั้งไป
จนมีประวัติอยู่ในหนังสือ “คนดีที่ข้าพเจ้ารู้จัก เล่ม 2” พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
แม้กระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนับเป็นสหชาติ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทักษิณานุปทานในงานเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบในทุกคราว
ทั้งนี้ หลวงพ่อเงินได้สร้างวัตถุมงคลไว้และมีชื่อเสียงโด่งดัง รู้จักกันดีคือ “พระนาคปรกใบมะขาม”
เพื่อแจกเป็นที่ระลึกในโอกาสอายุครบ 5 รอบ ในปี พ.ศ.2456 โดยนำเอาตะกรุดทองคำ 2 ดอก จาก 3 ดอกที่ท่านคาดเอว ตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองพระตะบอง แต่ละดอกน้ำหนักถึง 20 บาท ให้ลูกศิษย์นำไปเป็นมวลสารในการจัดสร้างและผสมด้วยทองแดง เพื่อให้เนื้อแข็งขึ้น ทำให้พระนาคปรกใบมะขามของท่านมีสีออกไปทางสีนาก
พระปรกใบมะขาม มีขนาดความกว้างประมาณ 0.5 เซนติเมตร และสูง 1.4 เซนติเมตร พุทธศิลปะสมัยลพบุรี
ด้านหน้า เป็นองค์พระปฏิมากรประทับนั่ง แสดงปางสมาธิราบ มีพญานาค 7 เศียร ขดเป็นพุทธบังลังก์ 3 ชั้น แผ่พังพานเหนือพระเศียรขององค์พระ
ด้านหลัง พื้นเรียบ จารึกอักขระขอมจาร 4 ตัว คือ นะทรหด 2 ตัว และอุณาโลม 2 ตัว อยู่ด้านบนและด้านล่าง
นับเป็นหนึ่งในวัตถุมงคลพระนาคปรกยอดนิยมในแวดวงนักนิยมสะสมพระเครื่อง ปัจจุบันหาดูของแท้ได้ยากยิ่ง
หลวงพ่อเงิน เป็นพระภิกษุชาวเขมร เกิดที่เมืองพระตะบอง เมื่อปี พ.ศ.2396 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 ของสยามประเทศ ศึกษาเล่าเรียนอักขระสมัยในสำนักพระธรรมโกษาวัดนรา เมืองพระตะบอง ตั้งแต่อายุได้ 8 ปี
ต่อมาบรรพชา และอุปสมบท จากนั้นเข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรมในกรุงเทพฯ ที่วัดอรุณราชวราราม และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ต่อมาได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นที่พระครูปัญญาคทาวุธ ตำแหน่งเจ้าคณะเมืองพระตะบอง แล้วเลื่อนเป็นพระราชาคณะที่พระปัญญาคทาวุธ และพระสนิทสมณคุณ ผู้ช่วยเจ้าคณะมณฑล ตามลำดับ
ครั้นเมื่อไทยคืนเมืองพระตะบองและเสียมราฐให้แก่กรุงกัมพูชา จึงพาเหล่าศิษยานุศิษย์อพยพเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นคราวเดียวกับหลวงพ่อคง สุวัณโณ พระเกจิผู้เรืองนามอีกรูปหนึ่ง มาจำพรรษาที่วัดซำป่างาม จ.ฉะเชิงเทรา
หลังจากได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม ได้บูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถานและศาสนวัตถุในวัดที่ชำรุดทรุดโทรม รวมทั้งสร้างเสนาสนะต่างๆ ภายในวัด จนวัดโมลีโลกยารามเจริญรุ่งเรืองเป็นที่เชิดหน้าชูตา เป็นที่เคารพศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนโดยถ้วนทั่ว
นอกจากเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาคมแล้ว ยังมีความรู้ด้านแพทย์แผนโบราณด้วย ช่วยรักษาชาวบ้าน จนมีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น
มรณภาพลงอย่างสงบ ในปี พ.ศ.2463 สิริอายุรวม 68 ปี
กล่าวสำหรับ “วัดโมลีโลกยาราม” เป็นวัดโบราณ มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เรียกกันว่า “วัดท้ายตลาด” เพราะอยู่ต่อจากตลาดเมืองธนบุรี สมัยกรุงธนบุรีเขตวัดนี้ถูกรวมเข้าไปในเขตพระราชวัง จึงเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์ตลอดสมัยกรุงธนบุรี
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 1 จึงนิมนต์พระมาอยู่ ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงขนานนามใหม่ว่า “วัดพุทไธสวรรย์” ถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งพระอาราม ทรงเปลี่ยนนามใหม่อีกว่า “วัดโมลีโลกสุทธาราม” ต่อมาเรียกกันสั้นๆ ว่า “วัดโมลีโลก”
ภายหลังต้องการให้มีคำว่าอารามอยู่ท้ายจึงต่อว่า “โมลีโลกยาราม”
ในสมัยรัชกาลที่ 1 สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) เป็นพระราชาคณะวัดโมลีโลกฯ ที่ทรงคุณธรรม และสมัยนั้นสถานที่ศึกษาวิชาการอยู่ตามวัด พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อทรงพระเยาว์จึงเสด็จไปศึกษาอักษรสมัยเบื้องต้นในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) ซึ่งยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระโฆษาจารย์หลายพระองค์ นับแต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น
ครั้นถึงรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้กระทำผาติกรรมย้ายพระตำหนักแดงไปสร้างเป็นกุฏิเจ้าอาวาสวัดเขมาภิรตาราม ซึ่งเป็นวัดที่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีทรงบูรณปฏิสังขรณ์ และทรงสร้างกุฏิตึกประราชทานเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกฯ แทนพระตำหนักแดง
นอกจากนี้ ทรงปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุและปูชนียวัตถุตลอดทั้งพระอาราม
วัดโมลีโลกยาราม ตั้งอยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ติดกับกองทัพเรือ ปากทางเข้าเป็นซอยในชุมชนวัดโมลีฯ เป็นชุมชนเล็กๆ ที่มีความเงียบสงบ
ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านมีความเรียบง่าย