ผ่าคดีฆาตกรรม‘บิลลี่’ หลักฐานชัดฆ่าเผายัดถัง ‘ชัยวัฒน์’ยันไม่เกี่ยวข้อง อ้างมีคนเห็นเดินที่ชะอำ

ได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วว่า บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ แกนนำกะเหรี่ยงโป่งลึก-บางกลอย ที่ถูกระบุว่าสูญหายไปเมื่อ 5 ปีก่อน

ที่แท้ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม ก่อนนำศพไปใส่ถังน้ำมัน 200 ลิตร แล้วเผาทำลายหลักฐาน ทิ้งไว้ในเขื่อนแก่งกระจาน

หลังจากเจ้าหน้าที่ดีเอสไอตรวจสอบพบเบาะแส แล้วเก็บกู้ขึ้นมาได้ จนพบเศษกระดูกกว่า 20 ชิ้น และเมื่อตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์พบว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับแม่ของบิลลี่

เหลือแค่ผลตรวจดีเอ็นเอให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

แต่ก็สามารถสรุปได้แล้วว่าบิลลี่ถูกทำให้ตายแล้วนำศพมาเผาทำลาย

เปลี่ยนคดีคนหายกลายเป็นคดีฆาตกรรม

หลังจากดีเอสไอแถลง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่เป็นคนควบคุมตัวบิลลี่ก่อนสูญหาย ก็ยืนยันชัดเจนว่าไม่เกี่ยวข้อง

ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแก่งกระจานถ่ายกับบิลลี่
แถมหลังจากเหตุการณ์ที่หายตัวยังมีคนเห็นบิลลี่ซื้อของที่ตลาดชะอำ แม้จะไม่มีญาติพี่น้องคนไหนได้พบเจอบิลลี่อีกเลยก็ตาม

ที่เหลือก็คือการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ ว่าจะคลี่คลายคดี หาฆาตกรโหดมาดำเนินคดีได้หรือไม่

❒ ชัดแล้ว‘บิลลี่’ถูกฆ่าเผา
ความกระจ่างครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ก.ย. โดย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดี พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และคณะแถลงความคืบหน้าการสอบสวนกรณีการหายตัวไปของ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี แกนนำชาวบ้านต่อสู้กรณีถูกเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ เผาไล่ที่ หายตัวปริศนาเมื่อ 5 ปีก่อน

ดีเอสไอ-สถาบันนิติวิทยาศาสตร์แถลง
ระบุว่า หลังจากที่คณะกรรมการคดีพิเศษ มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2561 รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ โดย นางพิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยานายพอละจี และญาติ เชื่อว่าเป็นการบังคับให้สาบสูญ

จากการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และได้รับเบาะแสจากพยานบุคคล จึงร่วมกับม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ใช้โดรนสำรวจทางอากาศ และหุ่นยนต์สำรวจใต้น้ำมาตรวจสอบพื้นที่จุดพิกัดที่เชื่อว่าคนร้ายน่าจะนำ สิ่งของ หรือวัตถุต้องสงสัยไปทิ้ง

โดยยานยนต์สำรวจใต้น้ำ สแกนด้วยคลื่นโซนาร์ ตรวจค้นวัตถุพยานใต้น้ำบริเวณสะพานแขวนเขื่อนแก่งกระจาน นาน 6 ชั่วโมง พบวัตถุต้องสงสัย 3-4 จุด จึงนำนักประดาน้ำจากตชด. มนุษย์กบสำรวจพบถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร 1 ถัง มีการเจาะรู มีลักษณะผุดำ ไหม้เป็นบางส่วน

นอกจากนี้ยังพบเหล็กเส้น 2 เส้น ถ่านไม้ 4 ชิ้น เศษฝาถังน้ำมัน ในถังน้ำมันมีชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้น บริเวณใกล้ถังน้ำมันพบเศษกระดูกคล้ายกระดูกมนุษย์

จึงรวบรวมส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์ พบว่า เป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้ สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากการ ถูกความร้อน หรือถูกเผาด้วยความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส

ตรวจพบสารพันธุกรรมตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ แม่นายพอละจี เป็นไมโตรคอนเดียดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกเท่านั้น จึงยืนยันได้ว่ากะโหลกศีรษะที่พบเป็นของนายพอละจี และเสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรม

สำหรับถังน้ำมันที่ใช้บรรจุกะโหลกศีรษะ ดีเอสไอส่งให้ศูนย์พิสูจน์หลักฐานภาค 7 ตรวจหาร่องรอยการผ่านความร้อนและการ ผุกร่อน ส่งชิ้นส่วนกระดูกเพิ่มเติมอีก 20 ชิ้น ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์

อย่างไรก็ตามยังไม่ทราบวิธีที่ทำให้ตาย โดยศพถูกนำมาเผาทำลายอำพรางคดี แม้จะพอรู้ตัวกลุ่มผู้ต้องสงสัย แต่ยังขอเวลาให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานให้ชัดเจน จะเชื่อมโยงวัตถุพยานในที่เกิดเหตุว่าเกี่ยวข้องกับบุคคลใดบ้าง

โดยเฉพาะเหล็กเส้น 2 เส้น จากเสาตอม่อ และพฤติการณ์ของกลุ่มคนร้ายที่กระทำผิดครั้งนี้เข้าข่ายลักษณะเป็นการ ฆาตกรรมโดยทรมาน และการบังคับบุคคลให้สูญหายที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดย ถูกบังคับ

เป็นคดีฆาตกรรมที่ต้องมีคนรับผิดชอบ

❒ ‘ชัยวัฒน์’ยันไม่เกี่ยวข้อง
ภายหลังที่รับทราบถ้อยแถลงของดีเอสไอ น.ส.พิณนภา ภรรยาพอละจี เปิดเผยว่า เมื่อเห็นภาพกระดูกของบิลลี่รู้สึกจุกอกจนพูดไม่ออกว่าทำไมถึงทำกับบิลลี่ ได้ บิลลี่ไปทำอะไรให้ถึงกับต้องเอาชีวิตกันด้วย เพราะเขาไม่เคยไปทำอะไรร้ายแรงกับใครเลย ส่วนตัวเมื่อรู้แล้วว่า บิลลี่ตายแล้ว หลังจากรอคอยคำตอบมา 5 ปี ในด้านจิตใจก็ไม่ต้องไปวนเวียนว่าบิลลี่หายไปไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

รองอธิบดีดีเอสไอรุดให้กำลังใจภรรยาบิลลี่
จากนี้ทั้งตนและลูกทั้ง 5 คน รวมทั้งแม่บิลลี่กังวลในเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากตอนที่บิลลี่หายไปในช่วงแรก คนที่เกี่ยวข้องกับการหายไป มาข่มขู่ว่าจะทำให้ครอบครัวหายไป

เมื่อความจริงในเรื่องนี้ปรากฏแล้วก็ทำให้ครอบครัวมีความกังวลว่าคนที่ก่อเหตุจะย้อนกลับมาทำร้าย

ขณะที่ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ (สบอ.) 9 อุบลราชธานี อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่เป็นผู้ควบคุมตัวนายบิลลี่ ก่อนจะหายตัวไป ระบุว่า ขอให้ทุกคนคิดเอาเองแบบพื้นๆ เลยว่า หากตัวเองได้กระทำผิดร้ายแรงแบบนั้นจริงๆ การเอาศพไปทิ้งไว้ในพื้นที่แบบนั้น ซึ่งเป็นที่ที่อยู่ใกล้ตัว แล้วใครจะกล้าทำ ต่อให้ยิ่งใหญ่จากไหนก็ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้

รู้สึกน้อยใจ โดยเฉพาะน้อยใจแทนลูกน้องที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร ต้องมาพลอยรับผลกับสิ่งที่ไม่รู้เรื่องด้วย

มีคนจ้องผมด้วยเรื่องนี้มานานแล้ว ที่ผ่านมาผมก็พิสูจน์มาแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เรื่องหนึ่งที่ขอตั้งข้อสังเกต ก็คือบริเวณสะพานที่ดีเอสไออ้างว่าเจอกระดูกนั้น เป็นบริเวณที่ชาวกะเหรี่ยงบางกลอยจะเอากระดูกของคนตายมาลอยอังคารกันอยู่ แล้ว

การตรวจโดยวิธีไมโตรคอนเดียนั้น ใช้วงเลือดมาพิสูจน์อย่างเดียวว่ากระดูกชิ้นนั้นเป็นของบิลลี่ ผมว่ามันไม่น่าจะพอ และสรุปออกมาแบบนี้ หลังจากนี้ก็คงต้องเตรียมตัวต่อสู้ทางกฎหมายต่อไป คงทำอะไรและพูดอะไรได้ไม่มากกว่านี้แล้ว วันนี้ก็ไม่ได้ไปไหน ยังทำงานตามปกติ

พร้อมระบุว่ามีภาพถ่ายทางอากาศเมื่อปี 2558-2559 ที่เห็นได้ชัดว่าใต้สะพานที่อ้างว่าเป็นจุดพบถังน้ำมัน ไม่มีน้ำอยู่เลย ชาวบ้านเดินข้ามได้โดยไม่ต้องใช้สะพาน แถมยังมีเครื่องจักรหนักอยู่บริเวณใกล้เคียง ห่างจากที่ทำการอุทยานไม่เกิน 1 ก.ม.

“มีคนเห็นบิลลี่ หลังจากที่ตนปล่อยตัวไปซื้อของอยู่ที่ชะอำ โดยมีคนยืนยันอย่างชัดเจน อยากรู้ว่าความเป็นธรรมอยู่ตรงไหน วันนั้นผมมีฤทธิ์ทำขนาดนั้นหรือไม่ แล้วทำไมไม่เจอรถมอเตอร์ไซค์ และถ้าตนมีเวลาขนาดนั้น ทำไมไม่แยกชิ้นส่วนเอาไปทิ้งคนละที่ รวมถึงมอเตอร์ไซค์ พูดได้เลยว่าคนที่เอาคนยัดถังแล้วเผานั้นชั่วสุดๆ แล้ว”

ขณะที่ นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ มีคำสั่งโยกย้าย พนักงานข้าราชการกับลูกจ้างประจำ ที่อยู่ในเหตุการณ์ ขณะจับกุมตัวนายบิลลี่ เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557 ออกนอกพื้นที่อุทยานแก่งกระจาน 4 ราย โดยสั่งให้ออกนอกพื้นที่อุทยานแก่งกระจาน ไปอยู่พื้นที่อื่น ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ชลบุรี นครสวรรค์

แต่ไม่รวม นายชัยวัฒน์ เพราะปัจจุบัน นายชัยวัฒน์ เป็นผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 อุบลราชธานี การโยกย้ายเป็นอำนาจของปลัดกระทรวง ที่ตนโยกย้ายเป็นเฉพาะที่อยู่ในอำนาจอธิบดีเท่านั้น

ยังเป็นเรื่องที่ต้องสืบสวนคลี่คลายกันต่อไป

❒ ย้อนรอยสาบสูญนาน 5 ปี
สำหรับ บิลลี่ หรือ พอละจี รักจงเจริญ เป็นชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกอบต.ห้วยแม่เพรียง และเคลื่อนไหวต่อสู้จากกรณีที่ชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานบุกไล่ที่ เผาบ้าน เผายุ้งข้าวเมื่อปี 2554 จนคดีเริ่มจะเข้าสู่ศาล

ต่อมาในวันที่ 17 เม.ย. 2557 บิลลี่ขี่จยย.สีเหลืองดำ ทะเบียน ขพง 998 ออกจากบ้านมุ่งหน้าไปที่ตัวอำเภอแก่งกระจาน เพื่อเตรียมข้อมูลยื่นถวายฎีกาเรื่องความเดือดร้อนของชาวบ้าน ที่ได้รับผลกระทบจากเจ้าหน้าที่อุทยานที่ผลักดันให้ออกจากป่า

ระหว่างทางที่บ้านหนองมะเรว ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี บิลลี่ถูกเรียกตรวจโดยเจ้าหน้าที่อุทยาน และพบน้ำผึ้งป่า จึงควบคุมตัวไว้ พร้อมวิทยุแจ้งให้นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในขณะนั้น รับทราบ และเดินทางมา สอบสวนบิลลี่ด้วยตัวเอง

ต่อมาวันที่ 18 เม.ย. 2557 คนในครอบครัวบิลลี่ ร้องเรียนว่าบิลลี่หายไป พร้อมแจ้งความที่สภ.แก่งกระจาน

ขณะที่นายชัยวัฒน์ ระบุว่า เมื่อวันที่ 17 เม.ย.2557 ตนกลับจากภารกิจที่เขาพะเนินทุ่ง มาถึงจุดตรวจด่านสามยอด ได้รับแจ้งทางวิทยุว่าควบคุมตัวชาวบ้านบางกลอย มีน้ำผึ้งป่าที่เป็นสิ่งหวงห้ามซ่อนอยู่ เมื่อไปถึงพบนายบิลลี่ ขณะนั้นฝนตก จึงให้เจ้าหน้าที่นำบิลลี่ และจยย.พร้อมของกลางขึ้นรถของตน ขับไปที่อุทยาน

ระหว่างทาง นายบิลลี่ขอร้องให้ปล่อยตัว อ้างว่าซื้อน้ำผึ้งป่ามาจากชาวบ้านแค่ 5 ขวด เป็นความผิดเล็กน้อย แต่ตนไม่เชื่อเพราะบิลลี่มีกระเป๋าใบใหญ่ คาดว่ามีน้ำผึ้งอีกจำนวนมาก ขณะนั้นรถมาถึงบ้านมะค่า ห่างจากด่านมะเรว 9 ก.ม. จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่จอดรถ และลงมาค้นสัมภาระอีกรอบ เมื่อไม่พบน้ำผึ้งอีก จึงว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไปพร้อมจยย. จากนั้นกลับไปที่ไร่ราชพฤกษ์เตรียมจัดงานสงกรานต์ย้อนหลัง

นอกจากนี้ยังมีนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ชาวกะเหรี่ยงอีกคนที่ถูกฆาตกรรม นั่นก็คือ อาจารย์ป๊อด หรือนายทัศน์กมล โอบอ้อม ที่ต่อสู้เรื่องกะเหรี่ยงแก่งกระจานถูกรังแก กลับถูกประกบยิงดับขณะขับจี๊ปเชอโรกี ที่หมู่ 6 ต.ถ้ำรง อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2554

ต่อมาเจ้าหน้าที่ยื่นฟ้องนายชัยวัฒน์ และพวกอีก 4 คน ในความผิดต่อชีวิตและพ.ร.บ.อาวุธปืน สุดท้ายศาลอุทธรณ์สั่งยกฟ้อง

มาถึงคดีบิลลี่ ก็ต้องรอดูว่าจะมีบทสรุปอย่างไร