จรัญ พงษ์จีน : ความเหมือน-ต่าง รัฐบาลประยุทธ์ สมัย 1 และสมัย 2

จรัญ พงษ์จีน

เพราะรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” สมัยที่ 2/1 ไม่ได้อยู่ถ้ำดึกดำบรรพ์ หรือมาจาก “ดาวอังคาร” เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ตามช่องทางระบอบประชาธิปไตย ในรูปแบบผสมผสาน ประกอบขึ้นเป็น “รัฐสภา”

ตามกฎข้อบังคับของการเมือง ย่อมตีกรรเชียงหนีการตรวจสอบไม่พ้น ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี “ตู่ 2/1” ตีไพ่หมอบ ให้ความเห็นชอบ กำหนดวันเข้าร่วมประชุมเพื่อพิจารณา “ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ”

เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ที่พรรคฝ่ายค้านยื่น ปมถวายสัตย์ปฏิญาณ ในวันที่ 18 กันยายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของสมัยประชุมรัฐสภาพอดิบพอดี

โดยก่อนหน้านี้ “วิปรัฐบาล” เสนอให้วันอภิปรายทั่วไปเป็นวันที่ 11-12 กันยายน แต่ “พล.อ.ประยุทธ์” อ้างว่าติดภารกิจไม่สามารถมาประชุมได้ วันที่ 16 กันยายน จะเป็นการประชุมวุฒิสภานัดสุดท้าย และวันที่ 17 กันยายน มีการประชุมคณะรัฐมนตรี

จึงเหลือวันเคาะอยู่แค่ช็อตเดียวคือวันที่ 18 กันยายน วันเดียว ซึ่งการประชุมอาจจะต้องลากยาวไปถึงเที่ยงคืน

โดยสรุป มาสายก็ย่อมดีกว่าไม่มา มัดมือชกแค่วันเดียว ก็ยังดีกว่าไม่ได้อภิปราย

 

“ศึกอภิปรายทั่วไป” ในคาบนี้ ดูตามเนื้อผ้าแล้ว แค่สิวขึ้น ไม่น่าจะมีอะไรในกอไผ่ เนื่องจาก “ไม่มีการลงมติ” คนอื่นไปตอบกระทู้ รับมือศึกอภิปรายฟังฝ่ายค้านพูดเป็นต่อยหอยน่ะไม่น่ากลัวเท่าไหร่

แต่กับ “บิ๊กตู่” นักรบ เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการปฏิวัติ-รัฐประหาร เท้าเพิ่งแตะสนามประชาธิปไตย มีมาตรา 44 เป็นกระบองวิเศษ ไล่ทุบไล่ตีก้น ด่านักการเมืองมาตลอด 5 ปี

เก่งสารพัด พูดก็เก่ง แต่งเพลงก็เพราะ เล่นตลกก็พอดูได้ แต่กับที่ยืนใหม่ “นายกฯ เลือกตั้ง” มันคนละเรื่อง แถมขี้โมโห เก็บอาการไม่ค่อยอยู่อีกต่างหาก ศึกรุมกินโต๊ะคาบนี้ จึงใหญ่หลวงยิ่งนัก

ปากบอกว่าไม่เคยกลัว “ฝ่ายค้าน” ก็ไม่น่าจะจริง เลื่อนวันตอบ เลี่ยงบาลี หนีมาตลอดเนี่ย เรียกว่าไม่กลัว จับอาการแล้ว อมพระมาพูดก็ไม่มีใครเชื่อ

การบีบเวลาให้จำกัดจำเขี่ยเหลือแค่วันเดียว “ฝ่ายค้านร่วม” ต้องปรับจูนโมเมนตัมปรับทัพกันใหม่พอสมควร ด้วยการลดเนื้อหา ตัดตัวผู้อภิปรายให้สอดสัมพันธ์กับเวลา

ส่งเฉพาะขุนพลตัวกลั่นๆ ซึ่งแต่ละพรรคจะส่งเข้าประกวด เป็นผู้อภิปราย

ขณะเดียวกัน “พรรคร่วมรัฐบาล” ในนามของ “วิปรัฐบาล” ก็เตรียมหมากแก้เกมไว้พร้อมสรรพเพื่อทำหน้าที่ “ตัวช่วยบิ๊กตู่” แล้วเช่นเดียวกัน ตั้งทีม “องครักษ์พิทักษ์” โดยเฉพาะในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ

ทาง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค จะตีฆ้องเรียกประชุม จัดทีมองครักษ์ขึ้นมาชุดหนึ่ง คอยขัดจังหวะ ยกมือประท้วงเวลาฝ่ายค้านพูดดิสเครดิต หรืออภิปรายรุนแรงถึง “พล.อ.ประยุทธ์” จะวางแผนทำงานกันอย่างเป็นระบบ หรืออาจจะมีศูนย์บัญชาการคอยส่งเรื่องตอบโต้ ป้อนข้อมูล

แม้ประเมินสถานการณ์แล้ว ศึกอภิปรายทั่วไปในคาบนี้ แค่ลมพัดใบไม้ไหว ไม่มีผลทางการเมืองขั้นอุกฤษฏ์ เนื่องจาก “ไม่มีการลงมติ” แต่กลัวจะแพ้ภัยตัวเอง คือ “บิ๊กตู่” เก็บอาการไม่อยู่ เรื่องจะไปกันใหญ่

 

คณะรัฐมนตรีในรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หรือ “ตู่ 2/1” ดังที่ทราบ มีพรรคผสมกัน 7 พรรค “ครม.” เต็มคณะ คือ 36 คน หัวไม่วาง หางไม่เว้น เมื่อมาจากการเลือกตั้ง ทำให้มีความแตกต่างกับ “ตู่ 1” ดุจหนังคนละม้วน

“ตู่ 2/1” เหลือทหารที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่เพียง 4 คน คือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 3 พี่น้องแห่งบูรพาพยัคฆ์ และ “พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม

สัดส่วนเหลือ 4 รายเท่ากับ “คนสงขลา” ซึ่งปรากฏว่า คณะรัฐมนตรี “ตู่ 2/1” ทุบสถิติเก่าลงอย่างราบคาบ ไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่คนจังหวัดสงขลาได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีมากมายถึง 4 คน

ประกอบด้วย “นายวิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรีที่ผูกปีมายาวนาน ตั้งแต่วันแรก “ประยุทธ์ 1” ดูแลด้านกฎหมายให้มาตลอด

ตามด้วย “คนที่ 2” คือ “นายถาวร เสนเนียม” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่รับผิดชอบภาคอากาศเป็นหลัก

“คนที่ 3” ได้แก่ “นิพนธ์ บุญญามณี” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ยืนถูกที่ถูกเวลาตลอด ก่อน “คสช.” ยึดอำนาจ ลายุทธจักรการเมืองสนามใหญ่ไปเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ต่ออายุในตำแหน่งโดยอัตโนมัติ

พอเลือกตั้งใหญ่แล้วเสร็จ เมื่อต้นปี 2562 ยืนถูกมุม จึงได้ผงาดเป็น มท.2 สมใจ

“คนที่ 4” คือ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” หรือ “โกเกี๊ยะ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เจ้าของอาณาจักรปั๊มน้ำมันรายใหญ่ทั่วภาคใต้ เครือพีที สามี “นางนาที รัชกิจประการ” ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย

สองสามี-ภริยา เป็นแม่ทัพใหญ่พรรคภูมิใจไทยภาคใต้ เลือกตั้งงวดนี้ล็อกถล่มกวาด ส.ส.ด้ามขวานทองมาได้เป็นกอบเป็นกำ แม้ “เจ๊เปี๊ยะ” จะงานเข้า แต่ “โกเกี๊ยะ” ได้ขึ้นลิฟต์

ว่ากันไปแล้ว ใครๆ ก็เข้าใจว่า “พิพัฒน์-นาที” น่าจะมีถิ่นที่อยู่ประจวบคีรีขันธ์ ไม่ก็พัทลุง เพราะเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลประจวบฯ ขณะที่ภริยาเคยเป็น ส.ว.พัทลุงมาก่อน

แต่เนื้อแท้แล้ว “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” เป็นคนสงขลาโดยกำเนิด เป็นคนหาดใหญ่ เรียนมัธยมก็ที่บ้านเกิด คือโรงเรียนแสงทองฯ หาดใหญ่ รุ่น 14 เพียงแต่สนามการเมืองไม่ได้ยึดหัวหาดที่บ้านเก่า เพราะเบียดแทรกพื้นที่ผ่านพรรคประชาธิปัตย์แชมป์เก่าค่อนข้างลำบาก

สรุปแล้ว “คณะรัฐมนตรีตู่ 2/1” มีชื่อ “คนสงขลา” ร่วมแจมอยู่มากกว่าทุกจังหวัดถึง 4 คน สัดส่วนเท่ากับ “ครม.” สายทหาร ที่เหลืออยู่เพียง 4 คนเท่ากันพอดิบพอดี