ในประเทศ : ฝ่ายค้านอ่วม! มวยรอง-งูเห่าแผ่แม่เบี้ย สะพัดข่าวลือ ยุบอนาคตใหม่

ท่ามกลางปม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม นำ ครม.ถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน ตามมาตรา 161 รัฐธรรมนูญ 2560 ยังคงไม่จบสิ้น แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะย้ำว่ากระทำครบถ้วนมาโดยตลอด และเคยลั่นอมตวาจา “ผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” และคำพูดทำให้ต้องคิดไปไกลของ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ ที่ว่า “แล้ววันหนึ่งจะรู้เองว่าทำไมถึงไม่ควรพูด”

ส่วนฝ่ายค้านยังคงพยายามให้ พล.อ.ประยุทธ์มาชี้แจงต่อสภา เตรียมการยื่นกระทู้ถามในสภา 3 ครั้ง ภายใน 3 สัปดาห์ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ได้มาชี้แจง โดยอ้างว่าติดภารกิจตามที่ได้ลงกำหนดการล่วงหน้าไว้แล้ว

จนทำให้ฝ่ายค้านงัดไม้สุดท้ายยื่นสภาเสนอให้มีการเปิดญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 รัฐธรรมนูญ 2560

ซึ่งทั้งฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้านก็ยังคงงัดข้อเรื่องนี้กันอยู่

 

ต้นสัปดาห์ พล.อ.ประยุทธ์ได้นำ ครม.ร่วมพิธีรับพระราชดำรัสพร้อมลายพระราชหัตถ์ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้ง ครม.เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ โดยพิธีจัดขึ้นที่ทำเนียบ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา

“ผมไม่อาจจะกล่าวได้ว่าจะสามารถไปจบเรื่องอื่นได้หรือไม่ แต่ก็เป็นเรื่องที่พวกเราคือคณะรัฐมนตรีทุกคนซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ เป็นเรื่องที่ผมทำเรื่องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตไป พระองค์โปรดเกล้าฯ ลงมาเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นสิ่งที่คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีนำไปสู่การปฏิบัติ” นายกฯ กล่าว

ด้านฝ่ายค้าน นำโดยพรรคอนาคตใหม่ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ระบุว่า ขอยืนยันตามความเห็นของรองนายกฯ วิษณุ ว่าไม่ใช่การถวายสัตย์ปฏิญาณครั้งใหม่ และตนอยากจบเรื่องนี้ใจจะขาด แต่คนที่จะจบได้คือ พล.อ.ประยุทธ์ ตนเป็นคนแรกที่ทักท้วงในสภาตั้งแต่วันแถลงนโยบายรัฐบาล แต่นายกฯ ไม่ยอมแก้ปัญหาเรื่องนี้ ถ้าแก้ปัญหาแต่แรก เรื่องไม่บานปลายมาขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม พิธีที่นายกฯ นำ ครม.เข้าร่วมนั้น ตรงกับวันที่ผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปมถวายสัตย์ด้วย ส่วนฝ่ายค้านยังคงเดินหน้ายื่นญัตติอภิปรายทั่วไปต่อสภา ซึ่งอยู่ระหว่างการรอบรรจุวาระ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีการประชุมสภาเพราะติดการเป็นเจ้าภาพประชุมสมัชชารัฐสภาอาเซียน

ถือเป็นระยะเวลาที่ลงล็อก แต่ยังไม่ปิดจ๊อบโดยสมบูรณ์

 

หากดูจากปรากฏการณ์ในอดีต ฝ่ายค้านดูเหมือนจะเป็น “มวยรอง” ที่ต้องเจอปรากฏการณ์ “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ที่เป็น “อาฟเตอร์ช็อก” หลายลูก นับตั้งแต่อดีตพรรคไทยรักษาชาติเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ตามมาด้วยปรากฏการณ์ “บิ๊กเซอร์ไพรส์” คืนก่อนเลือกตั้ง 23 มีนาคม 2562

ต่อจากนั้นหลัง 6 พรรคขั้วต้าน คสช. ลงสัตยาบันร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่าจะไปรอดหรือไม่ สุดท้ายทุกอย่างก็ชัดเจน หลัง “ทักษิณ ชินวัตร” เจอ “อาฟเตอร์ช็อก” ลูกใหญ่ส่งท้ายอีกลูก ทำให้เห็นชะตากรรม “6 พรรค” ที่จับมือไว้ทันที

สภาพฝ่ายค้านที่บอบช้ำกับ “อาฟเตอร์ช็อก” ต้องปาดเหงื่อยาว แม้ภาพจะดูเป็นปึกแผ่น แต่ก็มีรอยร้าวซ่อนอยู่ระหว่างพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ที่ต้องเผชิญหน้ากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในระยะยาว

คือ ฐานเสียงที่เหมือนกัน และพรรคก็ไม่ได้เป็น “พรรคพี่-พรรคน้อง” ชัดเจนแบบพรรคไทยรักษาชาติกับเพื่อไทย

แม้ ส.ส.เพื่อไทย-อนาคตใหม่ บางส่วนจะระบุว่า ไม่มีการตีตลาดกันเอง เพราะฐานเสียงคนละฐานกันในแต่ละพื้นที่

แต่ที่อยู่ร่วมกันได้วันนี้เพราะมีศัตรูร่วมกันคือ “ร่างทรง คสช.” คือฝ่ายรัฐบาล และรัฐธรรมนูญ 2560 นั่นเอง

 

ท่ามกลางชะตากรรมพรรคอนาคตใหม่ที่ไม่แน่นอน และชะตาของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรค ที่เปรียบอยู่บนเส้นด้าย หลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องปมถือหุ้นสื่อ และให้ยุติการทำหน้าที่ ส.ส.ชั่วคราว ทำให้ “ธนาธร” ต้องทำหน้าที่นอกสภาแทน แต่รอยร้าวฝ่ายค้านกลับฝังลึกกับปรากฏการณ์ “ตลกฝืด” ที่มาจากฝ่ายค้านด้วยกัน

หลัง “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” ส.ส.เพื่อไทย ได้กล่าวพาดพิงพรรคอนาคตใหม่ แม้ใช้คำว่า “พรรคข้างบ้าน” ในเวทีเสวนา “จับมือดาวสภาเพื่อไทย” ที่ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” ส.ส.พรรคประชาชนปฏิรูป ที่ได้ยื่นยุบพรรคตัวเองต่อ กกต. เพื่อไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ หรือที่เรียกว่า “ไพบูลย์โมเดล” ว่า หากเกิดการยุบพรรคจริง จะทำให้กรรมการบริหารพรรคสิ้นสภาพไปด้วย จะทำให้คะแนนที่มีจะถือเป็นศูนย์ และต้องนำคะแนนมาคำนวณกันใหม่ แล้วเมื่อคำนวณแล้วตัวเลขจะไปตกอยู่พรรคไหนนั้น

ส่วนตัวกลับรู้สึกเป็นห่วงพรรคข้างบ้าน ที่มีจำนวน ส.ส. 81 คน แบ่งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ 50 คน – ส.ส.เขต 31 คน และหากมีการยุบพรรค คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่ออาจจะถูกนำมาคำนวณใหม่ ที่อาจจะทำให้บางพรรคได้ ส.ส.เพิ่มขึ้นอีกถึง 40 คน แม้พรรคเพื่อไทยจะไม่เกี่ยว เพราะพรรคเพื่อไทยไม่มี ส.ส.บัญชีรายชื่อ หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ จะยอมให้เกิดขึ้นหรือไม่

ด้าน “สุทิน คลังแสง” ส.ส.เพื่อไทย มองว่า กรณี “ไพบูลย์” เป็นการนำร่อง เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีคนยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ แล้วผลที่ออกมาจะมี 2 ทาง คือ สามารถยุบพรรคประชาชนปฏิรูปได้ พรรคพลังประชารัฐเอา “ไพบูลย์” ไปอยู่ด้วยได้ โดยอาจเป็น “โมเดล” ให้พรรคเล็กอื่นๆ นำไปใช้

แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญบอกยุบไม่ได้ ผลการเป็น ส.ส.ของ “ไพบูลย์” ก็จะหลุดไป และเมื่อหลุดเลย ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการยุบพรรคข้างบ้านเรา โดยที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งหมดจะไปสังกัดที่ไหนไม่ได้เลย เรื่องนี้ต้องตามดูกันต่อไป จะเป็นการเอากรณี “ไพบูลย์” 1 คน ไปแลกกับอีก 50 คนหรือไม่

 

ทําให้พรรคเพื่อไทยต้องออกมากล่าวขอโทษ พร้อมยืนยันว่าสิ่งที่พูดไปไม่มีเจตนาร้าย เพียงแต่กังวลและปรารถนาดีจึงบอกข่าวต่อให้ประชาชนช่วยเฝ้าระวัง เพราะสิ่งที่พรรคเพื่อไทยโดนมา ไม่ใช่เพราะข้อกฎหมาย แต่เป็นเหตุนอกเหนือกฎหมาย

ด้าน “ปิยบุตร” ได้ออกมาชี้แจงคดีความของพรรคว่า คดีความพรรคอนาคตใหม่มี 22 รายการ ที่เข้าสู่องค์กรต่างๆ พร้อมยืนยันพรรคจะไม่ถูกยุบพรรคจากคดีสำคัญ 3 คดี ได้แก่ คดีอิลูมินาติ ที่มีชายไปร้องศาลรัฐธรรมนูญที่อ้างว่า “ธนาธร-พรรณิการ์ วานิช” ใช้เสรีภาพในการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คดีนี้พรรคจะหมดเวลายื่นคำให้การต่อศาลรัฐธรรมนูญ 5 กันยายนนี้ ตอนนี้ยังอยู่ในชั้นคำให้การอยู่

นอกจากนี้ คือคดีที่ “ธนาธร” ให้พรรคกู้เงิน ที่อยู่ในชั้นของ กกต. การสืบสวน สอบสวน ไต่สวน สุดท้ายคือคดีหุ้นวี-ลัค ของ “ธนาธร”

ซึ่งทั้ง 3 คดี “ปิยบุตร” มองว่า กรณีหุ้นสื่อ ไปได้ไกลแค่ “ธนาธร” หลุดจากการเป็น ส.ส.

ส่วน “คดีอิลูมินาติ” ไปได้ไกลแค่ศาลสั่งให้งดใช้เสรีภาพที่เป็นการกระทำในการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย

และคดี “ธนาธร” ให้พรรคกู้เงิน ไปได้ไกลแค่ต้องนำเงินไปคืน

โดยทั้ง 3 คดีไม่เกี่ยวกับการยุบพรรค

 

มาพร้อมกรณีพรรคเศรษฐกิจใหม่ นำโดย “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” นำ 6 ส.ส.พรรคย้ำไม่ไปร่วมกับฝ่ายรัฐบาล

แต่บางกรณีที่เป็นความเห็นร่วมกันของพรรคฝ่ายค้าน ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่อาจใช้ “เอกสิทธิ์” ลงมติสวนทางพรรคฝ่ายค้าน

พร้อมพูดดักคอสื่อว่าไม่ต้องมาถามว่าจะเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” หรือไม่

การออกมากล่าวเช่นนี้ของ “มิ่งขวัญ” ย่อมเห็น “ทางลม” บางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งที่ผ่านมาพรรคเศรษฐกิจใหม่ก็ถูกมองว่า “สงวนท่าทีตัวเอง” มาตลอด

ท่ามกลางกระแสการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีการพูดถึงว่าจะมีการแก้ไขหมวด 1-2 ที่ใครๆ ก็ขอถอย ทำให้พรรคเพื่อไทย นำโดย “โภคิน พลกุล” ต้องแถลงข่าวชี้แจงจะไม่มีการแก้ไขหมวด 1-2 และจะมีการตั้ง ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้ง 200 คน แล้วใช้เวลายกร่าง 240 วัน

สะท้อนภาพฝ่ายค้าน “แพแตก” ในสภาวะเป็น “มวยรอง” ที่ต้องระวัง “งูเห่าแผ่แม่เบี้ย” และอยู่ในสภาพอ่วม หลังโดนไปหลาย “อาฟเตอร์ช็อก”

แม้ฝ่ายค้านจะประเมินหลายอย่างแม่นยำ แก้เกมเลือกตั้งได้ดี

แต่บางเรื่องที่ไม่ควรพลาดและเป็นเรื่องละเอียดอ่อน กลับประเมินเข้าข้างตัวเองและกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” มาตลอด