อุรุดา โควินท์ / อาหารไม่เคยโดดเดี่ยว : จานของคนห้าว

ห้าวกันนักใช่มั้ย เข้มกันแน่ใช่มั้ย ได้เลย จะจัดให้สาแก่ใจ ฉันคิด ขณะคั่วพริกในกระทะ

คั่วพริกไม่ใช่เรื่องยาก แต่พริกคั่วดีๆ หอมๆ หากินยากเหลือเกิน ไม่รู้เพราะอะไร

เรามักเจอพริกป่นสำเร็จรูป ที่ป่นละเอียดจริง แต่ไม่มีกลิ่นพริกคั่วเลย (เดาว่าไม่ได้คั่ว) และไม่ค่อยเผ็ด (เพราะไม่ได้คั่วนั่นละ)

คั่วพริก ก็แค่ตั้งกระทะ ใช้ไฟอ่อน คนไปเรื่อยๆ จนเปลือกพริกเปลี่ยนสีและกรอบ ฉันชอบตำมากกว่าใส่ลงเครื่องปั่น มันง่ายนิดเดียว และได้พริกป่นคั่วขนาดต่างกัน

พวกเขาหิ้วถุงใส่เครื่องดื่มลงรถ พอเห็นหน้าฉัน ก็บอกเสียงดังฟังชัด “มาขอเห่าดงกินครับ”

ห้าวๆ ตรงๆ ประสาคนหนุ่ม ทำให้ฉันอมยิ้ม

“อย่างอื่นไม่ได้เหรอ ทำไมต้องเห่าดง”

“เห่าดงพี่อร่อย กินที่ไหนก็ไม่เหมือนครับ”

ฉันหัวเราะ ดีใจ ที่พวกเขาชอบอาหารฝีมือฉัน “ไม่คิดบ้างเหรอ ว่าพี่ไม่มีของทำ”

“ผมพร้อมออกไปซื้อเดี๋ยวนี้ พี่ขาดอะไรขอให้บอก”

พวกเขาต้องรู้อยู่แล้วละ ว่าเห่าดงไม่มีวัตถุดิบอะไรมาก ยังไงฉันก็ทำได้ ครัวของฉันไม่เคยขาดหมู พริกแห้ง มะนาว และกะเพรา

เห่าดงเป็นอาหารง่าย ใช้วัตถุดิบเพียงเท่านี้ แต่ก็อย่างเขาว่า หาร้านทำถูกใจเรายากเหลือเกิน บางทีหมูสุกไป บ่อยครั้งแจ่วที่ราดก็หวานไป และที่แน่ๆ คงไม่มีร้านไหนคั่วข้าวใหม่ พริกใหม่ทุกวัน

“อยากรู้มั้ย ทำไมเห่าดงของพี่ไม่เหมือนที่อื่น”

ทั้งสองคนยิ้ม

คนหนึ่งหยิบแก้ว

อีกคนรินเครื่องดื่ม “อยากรู้ครับ แต่คงเป็นความรู้ที่ไม่ได้ใช้ เพราะผมกินกับล้างจานสองอย่างเท่านั้นครับ ในครัวไม่ได้เรื่อง”

“ผมรู้แต่ว่า หมูของพี่นุ่ม มีรสชาติ และหอมมาก”

“รอมีแฟนค่อยพาแฟนมาหัดทำแล้วกัน”

 

หลังประโยคนี้ ฉันก็ปล่อยพวกเขาให้อยู่ในห้องหนังสือ

เพื่อนสองคน โสดทั้งคู่ ยังหนุ่มแน่น คงมีเรื่องคุยกันมากมาย เห่าดงน่าจะเป็นข้ออ้าง จริงๆ แล้วพวกเขาแค่อยากหาสถานที่ซึ่งพวกเขาสะดวกใจ เพื่อดื่มและคุยกัน

ฉันดีใจที่พวกเขานึกถึงที่นี่ นึกถึงฉัน ผู้ซึ่งพวกเขาเรียกว่าพี่สาวอย่างเต็มคำ เต็มใจ

ฉันไม่เคยมีน้องชาย ฉันมีน้องสาว แต่เธอคล้ายจะเป็นพี่สาวของฉันมากกว่า ฉันไม่รู้หรอก-จริงๆ แล้วพี่สาวในอุดมคติเป็นอย่างไร

อย่างหนึ่งที่แน่ใจ พี่สาวคนนี้ทำอาหารให้กินได้แน่

การทำอาหาร ที่ตอนเด็กฉันรู้สึกว่ามันแสนสามัญ

ทุกวัน ฉันเห็นแม่และยายเดินเข้า-ออกในครัว เรามีกับข้าววางบนโต๊ะ มากบ้าง น้อยบ้าง ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง แต่เมื่อถึงมื้อ อาหารจากครัวจะวางรอเรา นั่นคือชีวิตประจำวัน

ตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่การทำอาหารกลายเป็นความพิเศษ มื้อพิเศษ วันพิเศษ หรือยามว่าง เราไม่มีเวลาสำหรับอาหาร เราทำอาหารไม่เป็น เราไม่เห็นความสำคัญของการทำอาหาร หรือทุกข้อรวมกัน ทำให้คนส่วนใหญ่ทำอาหารกินเองน้อยลงทุกที

ฉันเดาว่าในอนาคต การทำอาหารต้องเป็นความพิเศษขึ้นอีก และมีคนรู้วิธีทำอาหารน้อยลงเรื่อยๆ

แน่ละ เราย่อมอยู่กันได้ อย่างไรก็มีคนทำอาหารขาย แต่เราจะไม่มีวันรู้เลยน่ะสิ ว่าแท้จริงแล้วเรากินอะไรเข้าไปบ้าง

 

เหมือนพวกเขา ที่ชอบเห่าดง แต่ไม่รู้เลยว่า มันอร่อยเพราะฉันคั่วข้าวเอง คั่วพริกเอง คั่วเสร็จแล้วก็เอามาทำแจ่วเลย

ข้าวสารนั้น ถ้าจะคั่ว ต้องใช้ไฟอ่อนสุด ให้ข้าวค่อยๆ สุก เริ่มเป็นสีน้ำตาล แล้วค่อยเอามาบดในครก ข้าวคั่วของฉันก็เหมือนพริก แต่ละเกล็ดขนาดต่างกัน จะเรียกความไม่สมบูรณ์ก็ได้ แต่มันย่อมถือเป็นเสน่ห์ของเห่าดง

หมูต้องหมักไว้ก่อน อย่างน้อย 15 นาที ถ้าได้ครึ่งชั่วโมงจะอร่อยขึ้น ซึ่งหมายความว่า พวกเขาต้องรอ

ฉันใช้สันในหั่นเป็นชิ้น หมักกับซีอิ๊วขาว เหยาะเหล้าหรือไวน์ลงไปสักหน่อย ซีอิ๊วทำให้หมูมีรสชาติ ส่วนไวน์จะเพิ่มความดิบเถื่อนให้หมู สมชื่อเห่าดง

ก็แค่ทำหมูให้สุก แล้วเอาน้ำจิ้มแจ่วราดให้ชุ่ม บางร้านใช้วิธีลวก แต่ฉันใช้วิธีย่างแค่พอสุก ย่างในกระทะเทฟล่อน ใส่น้ำมันนิดหน่อย พอกระทะร้อนก็ใส่หมูหมักลงไป คนจนหมูเริ่มสุก ฉันรีบปิดเตา หมูชิ้นบาง และอมความร้อนไว้ ย่อมสุกขึ้นอีกแม้ไม่มีไฟ และนั่นคือความสุกในระดับที่เราต้องการ

น้ำจิ้มแจ่วของฉันปราศจากผงชูรสและผงปรุงรสใด ฉันตวงน้ำปลาดีสองส่วน น้ำมะนาวสองส่วน น้ำตาลหนึ่งส่วน คนกระทั่งน้ำตาลละลาย แล้วเติมพริกกับข้าวคั่ว

ตักหมูลงจาน ราดแจ่วให้ชุ่ม วางกะเพราขาวข้างจานไว้เป็นชู้กัน นั่นถือเป็นเห่าดง

แต่วันนี้ ในตู้เย็นมีคะน้าเห็ดหอมที่ก้านกรอบมาก ฉันหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แช่น้ำเย็นให้กรอบขึ้นอีก มีมะเขือเทศเหลือหนึ่งลูก จัดลงจานไปด้วยกัน จานสวยขึ้น และมะเขือเทศก็น่าจะเข้ากับเห่าดง

เอาน่า หมูราดแจ่ว กินกับผักอะไรก็อร่อย ไม่แค่กะเพราขาวหรอก

 

ยกจานมาหน้าบ้าน พบว่าเครื่องดื่มเกือบหมดแล้ว

“พี่ช้าไปนิดนะ หมูต้องหมักอ่ะ” ฉันออกตัว

“พวกผมรู้อยู่แล้วฮะ รอได้เสมอ”

ฉันวางจานบนโต๊ะ ยิ้มหวานให้พวกเขา นี่ไม่ใช่เห่าดงธรรมดา แต่เป็นเห่าดงเผ็ดยกกำลัง

สำหรับน้องชาย ห้าวน้อยกว่านี้ได้อย่างไร