ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 สิงหาคม - 5 กันยายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
หายนะทางเศรษฐกิจที่เกิดแก่ประชาชนเป็นเรื่องที่คนทุกกลุ่มพูดกันแทบทุกวัน
และถึงแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะพูดข้างเดียวมาตลอดครึ่งทศวรรษว่าเศรษฐกิจไทยดี
ความเป็นจริงในชีวิตของประชาชนก็คือใบเสร็จว่าผู้นำประเทศพูดโกหกมาอย่างต่อเนื่อง และยิ่งนานก็ยิ่งไม่เห็นสัญญาณว่าจะมีอะไรดีขึ้นอย่างที่ควรเป็น
ไม่ว่านายกฯ และพวกจะใช้ตัวเลขทางเศรษฐกิจสดุดีตัวเองอย่างไร ผลพวงจากการทำงานของรัฐบาลกำลังทำให้ประชาชนประสบ “ความทุกข์” จากความถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างที่สุด
ตัวอย่างเช่น เดือนสิงหาคมนี้มีผู้ก่อเหตุฆ่าตัวเองและครอบครัว 6 ครั้ง จนมีคนตาย 9 คน
โดยหนึ่งในนั้นเป็นพ่อฆ่าลูกและเมีย
กองหนุนรัฐบาลบางคนพยายามชี้แจงว่าการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องธรรมดา และสื่อที่หมกมุ่นกับการโชว์ความฉลาดของตัวเองก็พยายามจะบอกว่าอัตราฆ่าตัวตายตอนนี้เป็นเรื่องปกติ
แต่ข้อเท็จจริงคือ ผู้ก่อเหตุฆ่าตัวเองและคนรักหลายกรณีเขียนจดหมายลาตายว่าทำแบบนั้นเพราะแบกรับภาระทางเศรษฐกิจไม่ได้ต่อไป
แม้การฆ่าตัวตายจะเกิดขึ้นบ่อยจนคล้ายเป็นเรื่องปกติ แต่การฆ่าตัวตายในเวลาไล่เลี่ยกันโดยผู้ฆ่าจงใจบอกโลกถึงสาเหตุแห่งความตายเหมือนๆ กัน ไม่ว่าจะในสังคมไหนย่อมไม่สมควรถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
ตรงข้ามกับการฆ่าตัวตายเพราะบันดาลโทสะ, ป่วยด้วยโรคซึมเศร้า หรือขาดความยับยั้งชั่งใจ เหตุอันน่าสลดใจตอนนี้เกิดขึ้นผู้ฆ่าเขียนจดหมายลาตายที่พูดถึงการค้าฝืดเคือง, หนี้ท่วม หรือยืนยันว่าหมดแรงสู้จนต้องทำแบบนี้ ความตายจึงเกิดจากเจตจำนงที่จะตายจนฆ่าตัวเองและคนรักโดยไตร่ตรองล่วงหน้าอย่างดี
สำหรับความตายที่ผู้ฆ่าจงใจระบุสาเหตุแห่งความตาย ความตายคือผลจากการชั่งน้ำหนักว่าการยุติชีวิตคือทางออกที่ดีกว่าการมีชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้นคือผู้ตายจงใจสื่อให้เห็นความทุกข์อันบีบรัดจนความหวังทั้งหมดสิ้นสูญ
ความตายจึงเกิดการไตร่ตรองโดยผู้ตายที่มุ่งหวังจะประท้วงหรือบอกอะไรบางอย่างกับสังคม
เพื่อให้เห็นภาพรวมที่น่าตระหนกของความตาย โดยปกติเรามักเข้าใจว่าคนที่ฆ่าตัวตายคือชนชั้นยากไร้ที่แสงสว่างในชีวิตมอดมลายจนเห็นทุกสิ่งในโลกเป็นสีดำ
แต่ในสังคมไทยวันนี้ ผู้ก่อเหตุฆ่าตัวตายมีตั้งแต่ผัวเมียร้านชำ, เจ้าของอู่รถ, เจ้าของร้านชาบู และเจ้าของร้านอาหารเวียดนามในหมู่บ้านใหญ่กลางกรุง
ด้วยชนชั้นของผู้ฆ่าตัวตายในตอนนี้ เศรษฐกิจที่ถดถอยกำลังสร้างทุกข์ในชีวิตขั้นไม่เห็นทางออกแก่คนทุกระดับในสังคม
ผู้ตายในที่นี้ไม่ใช่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง, พ่อตกงาน, แม่วัยใส ฯลฯ แต่คือคนกลุ่มที่เป็น “ผู้ประกอบการ” ซึ่งเผชิญปัญหาค้าขายฝืดเคือง, เป็นหนี้นอกระบบ และความไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน
แน่นอนว่าคนที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจแบบนี้มีหลายแสนหรือกระทั่งหลายล้านคน เศรษฐกิจพังจึงไม่ใช่เหตุให้คนฆ่าตัวตายทุกคนไป
แต่สังคมที่คนฆ่าตัวตายไล่เลี่ยกันโดยยืนยันว่าหนีทุกข์ทางเศรษฐกิจย่อมมีบางอย่างผิดปกติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงว่าเหตุเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลอยู่ในวิสัยจะแก้ได้ตลอดเวลา
ห้าปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ตั้งตัวเองเป็นนายกฯ แล้วยึดอำนาจประเทศด้วยวิถีทางต่างๆ คือห้าปีที่ประเทศซึ่งเคยเติบโตทางเศรษฐกิจระดับ GDP อยู่ที่ 5-6% กลายเป็นประเทศที่เศรษฐกิจทรงๆ ทรุดๆ จน GDP เหลือแค่ 2-3%
ส่วนการส่งออกบางปีโตแค่ 0% จนวิกฤตเศรษฐกิจสร้างวิกฤตสังคมอย่างการฆ่าตัวตายในปัจจุบัน
ถ้ายอมรับว่าการฆ่าตัวตายที่ผ่านมาเกิดจากความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจและการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุน สถานการณ์เศรษฐกิจเวลานี้ก็เป็นเหมือนเปลวไฟอันอุดมด้วยชนวนที่จะกระจายทุกขภาวะทางสังคมให้แผดเผาผู้คนไม่รู้จบ ตราบใดที่ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจและปัญหาอื่นๆ ยังไม่ถูกคลี่คลายอย่างที่ควรเป็น
โดยพื้นฐานแล้วเหตุของความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจคือความยากจน และนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ช่วงห้าปีคือนโยบายที่ถีบคนจนสู่หุบเหวแห่งความจนโดยต่อเนื่อง การกดค่าแรงทำให้ค่าจ้างของลูกจ้างหลายสิบล้านไม่ขยับ ส่วนการต้านจำนำข้าวหรือประกันรายได้ก็ทำให้เกษตรกรอยู่ใต้กลไกตลาดโดยสมบูรณ์
สำหรับคนกลุ่มที่เป็นคนชั้นกลางหรือ “ผู้ประกอบการ” ห้าปีที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ คือห้าปีที่การบริโภคภายในประเทศตกต่ำต่อเนื่อง, การลงทุนจากภาคเอกชนแทบไม่ขยายตัว, รายได้จากการท่องเที่ยวถดถอยติดต่อกันสามปีแล้ว ส่วนรายได้จากการส่งออกแทบไม่เพิ่ม หรือถ้าเพิ่มก็อยู่ในวงเจ้าสัวไม่กี่คน
ไม่ว่าจะเป็นคนชั้นล่าง, คนชั้นกลาง หรือ “ผู้ประกอบการ” สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจอย่างที่เป็นมาครึ่งทศวรรษคือสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงจุดจบ เม็ดเงินในกระเป๋าคนชั้นล่างมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่ำกว่ามีโอกาสที่จะลดลง
หรืออย่างดีที่สุดก็คือทรงๆ ทรุดๆ แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา
นโยบายประกันรายได้เกษตรกรเป็นหนึ่งในนโยบายที่น่าจะบรรเทาทุกข์ของชาวนาชาวไร่ให้เบาลง
แต่ปัญหาที่รัฐบาลยังแก้ไม่ได้ก็คือการทำให้เม็ดเงินจากนโยบายนี้ตกแก่เกษตรกรที่ไม่มีที่ดินของตัวเอง ถึงแม้จะมีความพยายามผลักดันจากพรรคประชาธิปัตย์เพื่อแก้ระเบียบราชการที่เป็นอุปสรรคต่อเรื่องนี้ก็ตาม
สำหรับการแก้ปัญหาผู้ประกอบการ รัฐบาลประยุทธ์ 2 เดินหน้าอัดฉีดเศรษฐกิจแบบที่ประยุทธ์ 1 ทำไว้
แต่ตราบใดที่ภาครัฐต้องใช้ภาษีประชาชนอัดฉีดให้เศรษฐกิจโต
ตราบนั้นเศรษฐกิจจริงในภาคเอกชนยังซบเซาจนรัฐต้องสร้างการบริโภคกับการลงทุนเทียมเพิ่มขึ้น
และทั้งหมดนี้ไม่ใช่สัญญาณของเศรษฐกิจที่ดี
เพื่อความเป็นธรรมกับรัฐบาล มาตรการต่างๆ ที่ผลักดันโดยรัฐมนตรีอุตตม สาวนายน, คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ฯลฯ ถือว่าดีที่สุดเท่าที่รัฐบาลนี้จะทำได้แล้ว
ตัวอย่างเช่น การให้สินเชื่อแก่ SMEs โดยดูแผนธุรกิจมากกว่าหลักทรัพย์, ช่วยธุรกิจท่องเที่ยวเมืองรอง ฯลฯ
แต่ทั้งหมดนี้มาช้าและอาจไม่มากพอจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทย
ใครๆ ก็รู้ว่าเศรษฐกิจไทยขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกมากจนรายได้จากการส่งออกเป็นรายได้หลักของประเทศ
ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจึงมีผลต่อเศรษฐกิจไทยโดยตรง
รัฐบาลจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้แค่ไหนย่อมขึ้นอยู่กับทิศทางเศรษฐกิจโลกเสมอ
แต่ข่าวร้ายคือ ทั้งหมดนี้มีแต่สัญญาณร้ายสำหรับประเทศไทย
ภายใต้เศรษฐกิจโลกที่ทิศทางการเติบโตถูกปรับลดลงอย่างปัจจุบัน โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการเติบโตต่ำที่สุดในรอบห้าปีกำลังเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ GDP ซึ่งรัฐบาลหวังว่าจะไป 3.5% อาจเหลือ 2.9% ส่วนกรณีเลวร้ายที่สุดที่เศรษฐกิจโลกลดลง 1% ติดกันหกเดือน สิ้นปีนี้เศรษฐกิจไทยอาจเกิดภาวะถดถอยทันที
สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะเจอปัญหาหนักหน่วงกว่าที่ผ่านมา และถ้าปัญหาแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ทำให้เกิดภาวะฝืดเคืองจนคนเห็นว่าความตายดีกว่าการมีชีวิต
โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเป็นเหตุให้คนทำลายชีวิตตัวเองย่อมทวีความรุนแรงจนน่าเป็นห่วงยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะมีมุมมองต่อการเข้าสู่อำนาจของคุณประยุทธ์อย่างไร ไม่มีตรงไหนในตัวคุณประยุทธ์ที่ชี้ว่านายกฯ คนนี้จะนำประเทศผ่านพ้นวิกฤตที่น่าห่วงที่สุดในรอบหลายปีนี้ได้
นโยบายที่ดีขึ้นในรัฐบาลประยุทธ์ 2 มาจากการผลักดันของรัฐมนตรีพลเรือนในพรรคร่วมรัฐบาลต่างๆ ซึ่งทำเรื่องที่ต่างจากประยุทธ์ 1 เอง
ต่อให้จะเป็นคนที่คิดว่าประชาธิปไตยแย่กว่าเผด็จการ ผู้นำที่สืบทอดอำนาจเผด็จการตอนนี้ไม่ใช่ผู้นำที่พาประเทศได้ดีแน่ๆ
ทุกขภาวะทางเศรษฐกิจที่ทำให้คนฆ่าตัวตายไม่ควรกลายเป็นเรื่องปกติอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
และประชาชนในประเทศนี้ดีเกินกว่าจะอยู่ใต้การปกครองของผู้บริหารแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน