บทวิเคราะห์ | แบบนี้ก็ได้เหรอ? “ไพบูลย์โมเดล” ยื่นยุบพรรคตัวเอง เข็มทิศชะตา อนค.

การเมืองเกิดศัพท์แสงใหม่ “ไพบูลย์โมเดล”

จากกรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ยื่นเรื่องต่อ กกต. แจ้งการเลิกกิจการพรรคการเมือง ตามมาตรา 95 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง

ต่อมาวันที่ 26 สิงหาคม สำนักงาน กกต.ออกเอกสารชี้แจงหลังประชุม กกต.ระบุว่า ตามที่พรรคประชาชนปฏิรูปมีหนังสือแจ้งขอเลิกกิจการพรรค นายทะเบียนพรรคการเมืองตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วมีความเห็นว่า

มีกรณีเป็นเหตุให้พรรคประชาชนปฏิรูปสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ตามมาตรา 91(7) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง จึงเสนอที่ประชุม กกต.พิจารณา เห็นว่าพรรคประชาชนปฏิรูปมีเหตุสิ้นสภาพตามความเห็นนายทะเบียนพรรคการเมือง จึงเห็นควรประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กกต.พิจารณาเฉพาะประเด็นการยุบพรรคเท่านั้น ส่วนเรื่องคะแนนบัญชีรายชื่อที่เป็นปัญหาข้อถกเถียงกันนั้น ยังไม่พิจารณา

นายไพบูลย์แจ้งเหตุผลในการเลิกกิจการพรรค เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคมีมติเอกฉันท์ให้เลิกเพราะเห็นว่า

พรรคมี ส.ส.แค่ 1 คน กรรมการบริหารพรรคส่วนใหญ่มีภารกิจส่วนตัวอื่น ไม่มีเวลาร่วมจัดตั้งสาขาพรรค และประสานงานสร้างตัวแทนพรรคประจำจังหวัดตามกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. และกฎหมายพรรคการเมือง

พร้อมระบุ เมื่อกระบวนการยกเลิกกิจการพรรคเสร็จสิ้น ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ตนเองจะสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐทันที เป็น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐเต็มตัว มีผลเพิ่มจำนวน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐจาก 116 เป็น 117 เสียง

สำหรับสมาชิกพรรคประชาชนปฏิรูป 14,508 คน ส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าจะย้ายไปเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากมีอุดมการณ์ตรงกันคือสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี

ส่วนประเด็นที่ว่าจะมีผลให้ต้องคำนวณสัดส่วนจำนวน ส.ส.ที่แต่ละพรรคจะพึงมีใหม่หรือไม่ นายไพบูลย์เชื่อว่าไม่ต้องคำนวณใหม่

เพราะเป็นแค่การรักษาสถานภาพความเป็น ส.ส.เท่านั้น

แบบนี้ก็ได้เหรอ?

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. กล่าวถึง “ไพบูลย์โมเดล”

การยุบพรรคมี 2 กรณี ยุบตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ และยุบตามมติคณะกรรมการบริหารพรรค เมื่อยุบพรรค ส.ส.ยังมีสถานะความเป็น ส.ส. โดยต้องหาพรรคใหม่สังกัดใน 60 วัน

แต่จะมีปัญหากรณี ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งมาจากคะแนนรวมทุกเขตทั้งประเทศที่นำมาคำนวณเป็นจำนวน ส.ส.พึงมี

ส.ส.ดังกล่าวจะไปอยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่เท่าไรของพรรคสังกัดใหม่ เพราะจะมีปัญหาหากต้องคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ทุกครั้งที่เลือกตั้งซ่อมภายใน 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2562

ตัวอย่างชัดเจนกรณีเลือกตั้งใหม่ เขต 8 เชียงใหม่ ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนจำนวน ส.ส.พึงมีของแต่ละพรรค เพราะเมื่อคำนวณคะแนนใหม่ทั้งประเทศ พลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มพรรคละ 1 คน ที่ ส.ส.หายไปคือพรรคไทรักธรรม แสดงให้เห็นว่าคะแนนเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็สร้างผลกระทบได้

ในกรณีนายไพบูลย์ยื่นยุบพรรคตัวเอง ต้องนำคะแนนพรรคประชาชนปฏิรูปกว่า 45,000 คะแนน ลบออกและนำไปคำนวณใหม่ และนายไพบูลย์ต้องไปสังกัดเฉพาะพรรคที่ได้ ส.ส.พึงมีเพิ่มขึ้นเท่านั้น

ปัญหามีอยู่ว่า นายไพบูลย์ต้องการไปอยู่หรือไม่ หรือพรรคนั้นจะต้อนรับนายไพบูลย์หรือไม่ ยังไม่รวมว่าหากนายไพบูลย์ได้ไปอยู่พลังประชารัฐ จะแทรกลำดับผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อได้หรือไม่ และจะเข้าข่ายควบรวมพรรคหรือไม่ เพราะประชาชนปฏิรูปมี ส.ส.คนเดียว การที่นายไพบูลย์ไปสังกัดพลังประชารัฐ จึงเท่ากับย้ายพรรคร้อยเปอร์เซ็นต์

เหล่านี้เป็นเรื่องที่ กกต.ต้องหาคำตอบ

เนื่องจากกรณีดังกล่าวจะส่งผลกระทบในทางการเมือง พรรคใหญ่จะใช้วิธีนี้ให้พรรคเล็กยุบแล้วดึง ส.ส.ไปอยู่ด้วย เพื่อเลี่ยงกฎหมายควบรวม หรือไม่พรรคเล็กก็อยากหนีความเสี่ยงหลุด ส.ส. เพราะได้คะแนนรวมต่ำ จึงชิงยุบตัวเองไปสังกัดพรรคใหญ่

เชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะไปถึงศาลรัฐธรรมนูญแน่นอนเพราะไม่เคยเกิดขึ้น และกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิด

จึงไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับกรณีนี้ไว้

กรณี “ไพบูลย์โมเดล” ยังกลายเป็นชนวนตอบโต้ระหว่างอนาคตใหม่กับเพื่อไทย

เริ่มจาก นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว วิเคราะห์กรณีไพบูลย์โมเดล โดยแสดงความเป็นห่วงพรรคอนาคตใหม่ หากถูกยุบ คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่ออาจถูกนำมาคำนวณใหม่ ทำให้บางพรรคได้ ส.ส.เพิ่มขึ้นอีก 50 คน

นายสุทิน คลังแสง กล่าวว่า กรณีนายไพบูลย์เป็นการนำร่อง เชื่อว่าจะมีคนยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ผลมี 2 ทาง คือ ยุบพรรคได้ นายไพบูลย์ไปอยู่พลังประชารัฐได้ ซึ่งจะเป็นโมเดลให้พรรคเล็กอื่นๆ นำไปใช้

แต่ถ้าศาลบอกยุบไม่ได้ การเป็น ส.ส.ของนายไพบูลย์จะหลุดทันที เมื่ออย่างนั้นเป็นไปได้ว่า อาจมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ โดย ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งหมด 50 คนจะไปสังกัดไหนไม่ได้

เป็นการเอานายไพบูลย์ 1 คน แลก 50 คนหรือไม่ ต้องรอดู ถ้าสูตรนี้สำเร็จ ส.ส.รัฐบาลกับฝ่ายค้านจะห่างกันถึง 20 เสียง

หากมองผ่าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกอนาคตใหม่ จะเห็นถึงความไม่พอใจต่อข้อสังเกตของเพื่อไทย

“แทนที่จะเป็นห่วงว่าเพื่อนบ้านหรือตัวเองจะถูกปล้น ตอนนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านมีงานเต็มมือในการตรวจสอบพฤติกรรมต่างๆ ของ ครม. และงานใหญ่อย่างการอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แทนที่จะสนใจเรื่องดังกล่าว นี่คือสิ่งที่เราต้องร่วมมือกันมากกว่า”

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคก็ไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์คาดการณ์ของเพื่อไทย เนื่องจากทำให้สมาชิกเสียความเชื่อมั่น เข้าใจความหวังดี แต่วิธีสื่อสารสามารถคุยกันได้ ทำงานร่วมกันตลอด ไม่ควรพูดต่อที่สาธารณะ

ขอให้ทำงานด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน

นายปิยบุตร แสงกนกกุล กล่าวถึงคดีความของพรรค มี 3 คดีหลักที่อาจทำให้วิเคราะห์ไปถึงยุบพรรค ได้แก่

คดีหุ้นสื่อของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค คดีกล่าวอ้างว่าหัวหน้าและแกนนำพรรคมีพฤติกรรมล้มล้างระบอบการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และคดีนายธนาธรให้พรรคกู้ยืมเงิน

ซึ่งทั้ง 3 คดีจะไม่ส่งผลนำไปสู่การยุบพรรค

หากผลวินิจฉัยเป็นลบมากที่สุด

คดีถือหุ้นสื่อ นายธนาธรก็แค่สิ้นสถานะ ส.ส. คดีล้มล้างการปกครอง มากสุดคือศาลสั่งให้ยุติการกระทำนั้น คดีกู้เงิน ผลร้ายมากสุดคือให้นำเงินไปคืน

พรรคอนาคตใหม่ยังระบุ หากยุบพรรคจริง ซึ่งเป็นกรณีเลวร้ายสุด การคำนวณคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อก็จะไม่เหมือนกรณีนายไพบูลย์ ที่ยื่นยุบพรรคตัวเอง แต่พรรคอนาคตใหม่ยุบโดยคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ

ซึ่งกฎหมายระบุมีเวลา 60 วัน สำหรับ ส.ส.ทั้ง 2 ระบบในการหาพรรคใหม่สังกัด

ก่อนรอยร้าวในพรรคร่วมฝ่ายค้านจะขยายไปกว้างกว่านี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ ขอโทษพรรคอนาคตใหม่

“ได้ทราบเรื่องความเห็นของสมาชิก พท. เกี่ยวกับพรรค อนค. ด้วยความไม่สบายใจ ต้องขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเชื่อว่าผู้แสดงความเห็นไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงไม่ได้คาดคิดว่าจะส่งผลกระทบใดๆ ต่อพรรคที่เป็นเพื่อนมิตร คงถือเป็นข้อระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคตให้มาก ขอโทษอีกครั้ง”

เช่นเดียวกับนายสุทิน คลังแสง ที่ออกมาขอโทษ

รวมถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ยืนยันสิ่งที่พูด เป็นความปรารถนาดีกับฝ่ายประชาธิปไตยว่าเราจะถูกทำลายโดยการใช้ “ไพบูลย์โมเดล” มาเป็นเงื่อนไข

ตนไม่เคยเชื่อว่าอนาคตใหม่จะถูกยุบ แต่พูดเพราะความหวังดี เมื่อนายปิยบุตรสะท้อนว่าไม่เหมาะสม ต้องกราบขออภัยที่ทำให้หวั่นไหว ยืนยันสิ่งที่พูดเกิดจากความหวังดี และไม่ใช่การพูดในนามพรรค

“เราไม่เคยเชื่อว่าอนาคตใหม่จะถูกยุบด้วยข้อกฎหมายต่างๆ เรื่องที่ยื่นร้องไปไม่มีเหตุใดยุบเขาได้ แต่สิ่งที่เพื่อไทยโดนมาตลอดนั้น ไม่ใช่เพราะข้อกฎหมาย แต่เป็นเหตุนอกเหนือจากข้อกฎหมาย”

เหตุนอกเหนือข้อกฎหมายนี้เอง ต้องจับตา

แกนนำพรรคอนาคตใหม่ยังยอมรับ ทุกคดีที่มี ไม่มีคดีไหนไม่มั่นใจ หรือมีมูลฐานทางกฎหมายเพียงพอจะเอาผิดแกนนำพรรคหรือพรรคได้ แต่นั่นเป็นเพียงมูลเหตุทางกฎหมาย หากมีการใช้กระบวนการนอกเหนือจากพื้นฐานทางกฎหมาย

ก็อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา

ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ไพบูลย์โมเดล” จึงไม่เพียงเป็นเข็มทิศนำร่องให้บรรดาพรรคเล็ก

ยังเป็นเสมือนเข็มทิศนำร่อง “อภินิหารทางกฎหมาย” ที่การเมืองฝ่ายประชาธิปไตย

อนาคตใหม่ประมาทไม่ได้เด็ดขาด