ศูนย์ป้องกันฆ่าตัวพิษเศรษฐกิจ | วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

เหตุการณ์ผู้คนในสังคมไทยฆ่าตัวตายเพราะเครียดกับปัญหาหนี้สินเนื่องจากเศรษฐกิจซบเซาในช่วงหลายปีมานี้ เกิดขึ้นอย่างมากมายจนน่าเป็นห่วง เอาเฉพาะในเดือนสิงหาคมนี้ที่เป็นข่าวคราวน่าสะเทือนใจก็เกิดเหตุถึง 6 ราย รวม 9 ศพ

“ไม่ได้ต้องการตอกย้ำ ให้กลายเป็นการสร้างกระแสเลียนแบบ แต่ต้องการเรียกร้องให้มีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน”

เริ่มจากวันที่ 11 สิงหาคม หนุ่มใหญ่เจ้าของร้านอาหารเวียดนามย่านเมืองทองธานี ประสบปัญหาเศรษฐกิจซบเซา จนร้านอาหารเงียบเหงา คงทนขาดทุนไม่ไหว ตัดสินใจฆ่าตัวตายในอพาร์ตเมนต์ที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

ต่อมา 13 สิงหาคม พ่อ แม่ ลูกฆ่าตัวตายภายในรถ 3 ศพ เขียนจดหมายด้วยลายมือทิ้งเอาไว้ความว่า หมดหนทางแล้วจริงๆ ที่แบกอยู่ตอนนี้มันหนักเกินไป จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทราบว่า น่าจะมาจากปัญหากิจการร้านอาหารชาบู

ในวันที่ 15 สิงหาคม ที่ อ.ควนขนุน พัทลุง เจ้าของอู่ซ่อมรถที่เคยกิจการรุ่งเรือง ลูกค้าเนืองแน่น ตัดสินใจยิงตัวตาย หลังจากประสบปัญหาลูกค้าลดน้อยลงเนื่องจากเศรษฐกิจซบเซา

วันที่ 19 สิงหาคม ลุงขับรถแท็กซี่ ฆ่าตัวตายในบ้านย่านสวนพริกไทย ปทุมธานี ทิ้งจดหมายลาตาย โดยเขียนตัดพ้อชีวิตยากลำบาก หนี้ท่วมตัว พร้อมกับฝากญาติให้ช่วยดูแลลูกและภรรยาที่ตาบอดด้วย

*อีกคดีที่เป็นข่าวใหญ่ สะเทือนขวัญไปทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พบศพผัวเมียผูกคอตายเคียงข้างกันในห้องน้ำร้านชำของตัวเอง โดยสภาพศพทั้งสองกุมมือกันไว้แน่น!*

มีเขียนจดหมายอำลาลูกยาวเหยียด บอกว่าเหนื่อยและล้ากับชีวิตเหลือเกิน ซึ่งมาจากปมปัญหาเรื่องหนี้สิน เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ร้านชำขายของไม่ค่อยได้ จนต้องไปกู้หนี้ยืมสินแล้วก็หมุนเงินไม่ทัน

รายที่ 6 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม หนุ่มอาชีพโฟร์แมนวัย 42 ปี จอดรถฆ่าตัวตายอยู่ริมทางภายในซอยวัดลาดปลาดุก ท้องที่ สภ.บางบัวทอง นนทบุรี

ข่าวนี้สะเทือนใจกันมาก เพราะลูกชายขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้าน โดยตอนตื่นนอนขึ้นมาไม่เห็นพ่อ เข้าใจว่าคงรีบออกไปทำงานตั้งแต่เช้า แต่แล้วก็มาเห็นรถของพ่อจอดอยู่ริมถนน จึงเข้าไปเปิดประตูรถดู พบว่าพ่อฆ่าตัวตายอยู่ภายในรถนั่นเอง

“พร้อมกับจดหมายเขียนลาตายถึงภรรยาและลูก บอกว่าอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้วหนี้สินเยอะเหลือเกิน”

นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยวันนี้ สะท้อนสภาพปัญหาเศรษฐกิจว่ามาถึงจุดที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแค่เดือนนี้เดือนเดียวมีถึง 6 เหตุการณ์ รวม 9 ศพ น่ารันทดยิ่งนัก ทั้งที่ไม่อยากเน้นย้ำให้กลายเป็นแรงจูงใจต่อคนที่กำลังกลัดกลุ้มไร้ทางออก

แต่ต้องเอามาอธิบายให้รัฐบาลเห็นว่า อย่าปล่อยให้คนไทยต้องเซ่นสังเวยชีวิตไปกับพิษเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกเลย!

เมื่อไม่กี่วันก่อน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทยออกมาแถลงข่าวถึงเหตุการณ์คนไทยฆ่าตัวตายด้วยปัญหาปากท้องมากมายอย่างน่าตกใจ พร้อมกับเสนอให้รัฐบาลตั้งศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจโดยเร่งด่วน

นายอนุสรณ์ยกภาพรวมของวิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้ว่า อยู่ในช่วงที่เกิดปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ยกระดับเป็นสงครามค่าเงิน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้กลายเป็น 2 ประเทศที่เกิดความขัดแย้งคู่ใหม่ บวกผลกระทบจากการชุมนุมต่อต้านอำนาจรัฐบาลปักกิ่งของฮ่องกงที่ไม่จบง่ายๆ

“ซ้ำด้วยวิกฤตภัยแล้งในประเทศไทย ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ หนี้ครัวเรือน ค่าครองชีพสูง ค่าแรงต่ำ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ประชาชนสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ”

โฆษกพรรคเพื่อไทยได้เรียกร้องตรงไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ดำรงตำแหน่งมาแล้ว 5 ปี และเข้ามาเป็นนายกฯ สมัยที่ 2 ด้วยกติกาพิสดาร อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของ ครม.ปัจจุบันด้วย

*นอกเหนือจากความพยายามในการตั้งศูนย์ต่อต้านเฟกนิวส์เซ็นเตอร์ ซึ่งอาจยังไม่จำเป็นเร่งด่วน เมื่อเทียบกับปัญหาการฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจ รัฐบาลควรตั้งศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจให้เป็นรูปธรรมโดยเร่งด่วน เพื่อเป็นช่องทางช่วยเหลือเยียวยาและป้องกันการฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจ เป็นข้อเรียกร้องจากโฆษกพรรคเพื่อไทย*

จะว่าไปแล้ว สภาพเศรษฐกิจปากท้องที่เข้าขั้นวิกฤตเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลควรนิ่งเฉย แถลงตัวเลขจีดีพีไปเรื่อยๆ

เอาแค่ภัยแล้งที่แผ่กว้างไปทั่วประเทศ ทำให้นาข้าวแห้งตายสุดลูกหูลูกตาในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ กำลังจะเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ในอีกไม่นานนี้

เมื่อชาวนาคนปลูกข้าวเอง ไม่มีข้าวแม้จะเก็บเอาไว้กินเอง ชาวนาต้องไปซื้อข้าวกิน

ทั้งคงไม่แค่ชาวนาเท่านั้น แต่เกษตรกรอื่นๆ ต่างประสบภัยแล้งเช่นเดียวกัน อยู่ในสภาพหมดเนื้อหมดตัวไปตามๆ กัน

ข้อเรียกร้องที่ว่า ศูนย์ต่อต้านเฟกนิวส์ไม่ใช่จำเป็นเร่งด่วน แต่ศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจน่าจะเร่งด่วนกว่า เป็นข้อเรียกร้องบนความจริงอย่างแน่นอน!

การคิดสั้นหนีพิษเศรษฐกิจเป็นทางออกที่ไม่ควรสนับสนุน แต่ก็ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว ไม่เท่านั้น ยังจะต้องมีคนหน้ามืดตามัว ก่ออาชญากรรมลักวิ่งชิงปล้นเพื่อหาเงินทองในทางผิดๆ ด้วยแรงกดดันจากหนี้สินจะต้องเกิดขึ้นตามมาอีกเช่นกัน

ในทุกครั้งที่สังคมไทยตกอยู่ในช่วงวิกฤตปากท้อง มักเกิดเหตุการณ์ปล้นชิงเงินธนาคาร ร้านทอง ร้านสะดวกซื้อ เป็นคดีอาชญากรรมต่อเนื่องเช่นเดียวกัน

“เตรียมรับมือ เตรียมป้องกันเอาไว้ได้เลย”

เมื่อไม่นานมานี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงปัญหาการบริหารบ้านเมืองว่า ประเทศไทย ต่อให้ลีเซียนลุงก็เอาไม่ไหว หากความเกลียดชังยังอยู่ ประเทศไทยจะเดินต่อไปไม่ได้ โดยเฉพาะความพยายามที่จะให้รัฐบาลเป๋ไปเป๋มา ความน่าเชื่อถือก็จะหายไป

*คงต้องการอธิบายว่า ด้วยปัญหาการเมือง ปัญหาความขัดแย้งที่ไม่ยุติเสียที ทำให้การพัฒนาบ้านเมืองแก้ปัญหาปากท้องประชาชนจึงทำได้ยาก ชนิดที่นายลีเซียนลุง ผู้นำสิงคโปร์ที่ได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถด้านเศรษฐกิจ ก็คงทำไม่ได้ในไทยเรา*

คำกล่าวนี้โดนโต้แย้งมากมาย ด้านหนึ่งคือ ทีมงานเศรษฐกิจของ พล.อ.ประยุทธ์มีความสามารถเพียงพอหรือไม่ ถ้าย้อนดูช่วง 5 ปีที่เป็นรัฐบาลมาก่อนหน้านี้ และกำลังจะทำต่อไปในรัฐบาลชุดนี้

“อีกด้านคือ ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งก็ต้องถามว่า แล้ว พล.อ.ประยุทธ์โดดเข้ามาร่วมวงขัดแย้งเองใช่หรือไม่!?”

เมื่อโดดมาร่วมเป็นคู่ขัดแย้งตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นนายกฯ ถึง 5 ปี แล้วได้เป็นต่ออีกสมัย โดยไม่ได้เข้ามาอย่างไร้ข้อกังขา กลับเต็มไปด้วยข้อครหาว่าใช้ทุกกลไก ใช้ปาฏิหาริย์ความพิสดารมาทำให้ได้เป็นรัฐบาล อย่างนี้แล้วเป็นเรื่องยากที่ความขัดแย้งจะคลี่คลายลงไปอย่างแน่นอน

ถ้าการรัฐประหารเมื่อปี 2557 แสดงให้เห็นว่าเข้ามาหยุดความขัดแย้งจริง เป็นกลางจริงๆ อาจจะอ้างเรื่องนี้ได้

แต่การรัฐประหารกลับทำให้เป็นคู่กรณีเสียเอง และที่สำคัญ การรัฐประหารไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกทาง กลับจะสร้างปัญหาให้ยิ่งถลำลึกหนักเข้าไปอีก!!