“ผมไม่อาจจะกล่าวได้ว่า จะสามารถไปจบเรื่องอื่นได้หรือไม่” / ฉบับประจำวันที่ 30 ส.ค. – 5 ก.ย. 2562

ไม่มีความเห็นต่างใดๆ กับความซาบซึ้งใจ
ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรี มีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา
เป็นความซาบซึ้งใจที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า
ได้ทำเรื่องขอพระบรมราชานุญาต นำพระราชดำรัส พร้อมลายพระราชหัตถ์ ในโอกาสที่คณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน มาเป็นที่เคารพบูชาและนำไปสู่การปฏิบัติ
ซึ่งก็ทรงโปรดเกล้าฯ ลงมาเป็นลายลักษณ์อักษร
โดยจะนำพระราชดำรัสไปใส่กรอบประดับไว้ที่ที่ทำงาน หรือที่บ้านก็แล้วแต่ แต่ต้องเป็นที่อันสมควร
“ของผมก็เช่นกัน จะเก็บไว้ที่ทำเนียบรัฐบาลของผม ซึ่งถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นในเรื่องของการถวายสัตย์” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

อย่างไรก็ตามมีคำถามว่า การที่ “บิ๊กตู่” นำคณะรัฐมนตรีรับพระราชดำรัสถวายสัตย์เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม และมากด้วยความซาบซึ้งนั้น
จะโยงถึง “ปัญหาการถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนหรือไม่”
ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ได้กล่าวชัดๆ
เพียงแต่บอกว่า จะน้อมนำพระราชดำรัสใส่เกล้าใส่กระหม่อมไว้เป็นสิริมงคล และเป็นเครื่องกำกับสติเตือนใจสืบไปเท่านั้น
และ
“ผมไม่อาจจะกล่าวได้ว่า จะสามารถไปจบเรื่องอื่นได้หรือไม่”

แต่หากถามนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ผู้ซึ่งจุดประเด็นนี้ขึ้นมา
ก็มีคำตอบชัดเจน
นั่นคือเหตุการณ์ 27 สิงหาคม ไม่เกี่ยวข้องกับ เหตุการณ์การถวายสัตย์ เมื่อ 16 กรกฏาคม
เรื่องจึงยังไม่จบ
“คนที่จะจบได้คือ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ตัวนายกฯ ไม่ยอมแก้ปัญหาเรื่องนี้ ไม่ตอบ ไม่พูดว่าการถวายสัตย์ฯครบหรือไม่ครบ ท่านไม่ได้ตอบอะไรทั้งสิ้น ใช้วิธีเงียบ ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ได้หวังล้มรัฐบาล แต่ต้องการความแน่นอนชัดเจน เพื่อให้ ครม.ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบตามรัฐธรรมนูญ ใครที่บอกให้จบเรื่องนี้แล้วไปแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจดีกว่า ช่วยไปบอก พล.อ.ประยุทธ์ให้จบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ถ้าแก้ปัญหาแต่แรก เรื่องไม่บานปลายมาขนาดนี้”
นายปิยบุตรกล่าวย้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น องค์กรที่ไม่ให้ เรื่องนี้จบ ก็คือ ผู้ตรวจการแผ่นดิน
ที่มีมติให้ส่งเรื่องพร้อมความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 46 พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 เพื่อให้วินิจฉัยว่า การที่นายกรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญและละเมิดสิทธิเสรีภาพของนายภานุพงศ์ ชูรักษ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงที่เป็นผู้ยื่นคำร้องหรือไม่
ขณะที่พรรคฝ่ายค้าน 7 พรรค ยังเดินหน้าขอเปิดอภิปราบทั่วไป โดยไม่ลงมติ ต่อไป
สรุปคือ เรื่องไม่จบ
ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์อัญเชิญพระราชดำรัสมาแสดงต่อสื่อมวลชน
และย้ำว่า “ผมปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้พระราชทานมาให้ตามที่ผมขอพระราชทานขึ้นไปและพระราชทานกลับมา”
ดูเหมือนนายกฯ และอีกฝ่าย มองกัน “คนละเรื่องเดียวกัน”
เป็นคนละเรื่องเดียวกัน ที่มากด้วยความละเอียดอ่อน และยากต่อการประเมินผล
คำตอบอันเป็นที่สุด
จึงระทึกใจยิ่ง!
————————–