ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 สิงหาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
สุจิตต์ วงษ์เทศ
กลองมโหระทึก ในศาสนาผี
ไม่มีวิญญาณและโลกหน้า
กลองมโหระทึกเป็นที่รู้จักในไทยทุกวันนี้
หมายถึงเครื่องประโคมตีทำด้วยโลหะในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์หลายพันปีมาแล้วของภูมิภาคอุษาคเนย์
พิธีกรรมหลังความตาย
หน้าที่อย่างหนึ่งซึ่งสำคัญยิ่งของกลองมโหระทึก เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมหลังความตาย เพราะพบถูกฝังรวมในหลุมศพ บางทีพบว่าใช้บรรจุกระดูกคนตายแล้วฝังดิน
ดังนั้น บรรดานักปราชญ์, นักค้นคว้า และนักวิชาการสมัยก่อนๆ เลยนิยามและอธิบายด้วยแนวคิดเกี่ยวกับวิญญาณและโลกหน้า (หรือ ปรโลก) ตามความเชื่อทางศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ต่อจากนั้นนักค้นคว้าและนักวิชาการรุ่นหลังล้วนคล้อยตามจนถึงทุกวันนี้
แต่กลองมโหระทึกเป็นเครื่องมือมีอายุเก่าแก่หลายพันปีมาแล้ว ก่อนติดต่ออินเดีย และก่อนเลือกรับศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ทำให้สงสัยจะผิดฝาผิดตัวถ้านิยามและอธิบายตามแนวคิดเกี่ยวกับวิญญาณและโลกหน้า
ขวัญ ในศาสนาผี
กลองมโหระทึกเป็นเครื่องมือโลหะเรียกสำริด ใช้ประโคมตีในพิธีกรรมทางศาสนาผีของคนพื้นเมืองดั้งเดิมอุษาคเนย์หลายพันปีมาแล้ว
โดยเฉพาะพิธีกรรมหลังความตายซึ่งเกี่ยวข้องกับขวัญที่มีในมนุษย์, สัตว์, สิ่งของ, สถานที่
ขวัญเป็นความเชื่อในศาสนาผีของคนอุษาคเนย์ทุกชาติพันธุ์หลายพันปีมาแล้ว (ก่อนรู้จักศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจากอินเดีย) โดยเกี่ยวข้องกับมนุษย์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอนและหลังความตาย
พิธีกรรมทุกอย่างที่มนุษย์ร่วมกันสร้างขึ้น ต้องเริ่มด้วยทำขวัญ โดยมีมโหระทึกประโคมตีตั้งแต่ต้นจนจบตลอดพิธีกรรม
[ตกทอดสืบเนื่องจากกลองมโหระทึกถึงปัจจุบัน ได้แก่ ฆ้องขนาดใหญ่ เรียกฆ้องหุ่ย ใช้ตีในพิธีทำขวัญ]
ปัญหาทุกวันนี้ได้แก่ความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับขวัญ ถูกทำให้กลืนกลายเข้ากับวิญญาณจนไม่เหลือร่องรอยของขวัญอีกแล้ว ในที่สุดก็ลืมหมด
ขวัญ หมายถึงส่วนไม่มีรูปร่าง จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น แต่เคลื่อนไหวได้ ลักษณะเป็นหน่วยจำนวนหนึ่งซึ่งสิงสู่อยู่กระจายตามส่วนต่างๆ ของมนุษย์, สัตว์, สิ่งของ, สถานที่
มนุษย์มีขวัญอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายจำนวนหลายสิบตามความเชื่อของกลุ่มนั้นๆ แต่ขวัญสำคัญที่สุดอยู่กลางกระหม่อม เรียกจอมขวัญ แล้วเชื่อว่ามีขวัญจึงมีชีวิต คนตายเพราะขวัญหายออกจากร่าง ถ้าเรียกขวัญคืนร่างคนก็ฟื้น
ดังนั้น เมื่อมีคนตายเป็นบุคคลสำคัญ ได้แก่ หัวหน้าเผ่าพันธุ์ จึงมีพิธีเรียกขวัญสู่ขวัญด้วยการละเล่นอึกทึกครึกโครมให้ขวัญคืนร่าง ถ้าไม่คืนร่างก็ถูกเรียกผีขวัญ ต้องมีพิธีส่งผีขวัญไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผีขวัญบรรพชนบนฟ้า (ซึ่งถูกเรียกสมัยหลังว่าแถนหรือผีฟ้า)
[ชุมชนลุ่มน้ำโขงเรียกกิจกรรมหลังความตายเหล่านี้ว่า “งันเฮือนดี” เป็นต้นทางมหรสพงานศพทุกวันนี้ เช่น โขน, ละคร, หนังใหญ่, ลิเก, ภาพยนตร์, ดนตรี ฯลฯ]
รูปร่างขวัญ
ขวัญไม่มีรูปร่าง จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น แต่คนรู้ว่าสิงสู่อยู่บริเวณโคนเส้นผมขึ้นชนกันเป็นวงเหมือนก้นหอย ตรงกลางกระหม่อมบนหัวกบาลของคน เรียกจอมขวัญ
เลยเชื่อกันว่าถ้าทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้มีลักษณะเป็นวงหรือขดเหมือนก้นหอย เท่ากับมีขวัญสิงสู่อยู่ตรงนั้น หมายถึง เฮี้ยน ย่อมบังเกิดสิ่งดีที่คอยคุ้มครองป้องกันพ้นจากสิ่งไม่ดี
ดังนั้น เครื่องมือเครื่องใช้เลยต้องมีขวัญสิงอยู่ในนั้น โดยทำลวดลายคล้ายวงก้นหอยจำลองขวัญในรูปลักษณ์ต่างๆ เช่น ปุ่มนูนมีแฉกล้อมหลายแฉกบนหน้ากลองมโหระทึก, ลายก้นหอยคล้ายลายนิ้วมือบนหม้อเขียนสีที่บ้านเชียง เป็นต้น
ปุ่มนูนมีแฉกล้อม คือ ขวัญ
กลางหน้ากลองมโหระทึกทำปุ่มนูนล้อมด้วยแฉกมีหลายแฉก เป็นรูปขวัญซึ่งจำลองจากจอมขวัญบนหัวของคน ที่บริเวณโคนของเส้นผมขึ้นเป็นวงเหมือนขดก้นหอยอยู่กลางกระหม่อม
เมื่อประโคมตีมีเสียงดังกังวานไกลออกไป ด้วยจงใจให้เสมือนเสียงเรียกขวัญ (สู่ขวัญ) คืนร่างเดิมคนตายจะได้ฟื้นเป็นปกติ
ตรงปุ่มนูนไม่ใช่ตำแหน่งใช้ไม้ตีตามที่เข้าใจกันทั่วไป เพราะเมื่อต้องการให้มีเสียงกังวานต้องตีบนพื้นที่ว่างระหว่างปุ่มนูนกับขอบ
นักโบราณคดีชาวยุโรปสมัยก่อนและนักโบราณคดีไทยสมัยนี้ มีนิยามว่ารัศมีแฉกๆ เป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ดวงดาว เป็นต้น ล้วนเป็นความรู้วิทยาศาสตร์สมัยใหมที่ได้จากโลกตะวันตกเมื่อไม่นานมานี้ จึงไม่น่าจะตรงความหมายดั้งเดิมหลายพันปีมาแล้ว
นก
รอบหน้ากลองมโหระทึกมีรูปนกจากจินตนาการของคนเมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว
เป็นนกศักดิ์สิทธิ์ ปากยาว, คอยาว, ขายาว, ทำท่าบินพาผีขวัญของคนตายขึ้นฟ้าไปสิงสู่อยู่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับผีขวัญบรรพชนจำนวนมากจนนับไม่ได้ที่รวมพลังอยู่ก่อนซึ่งถูกเรียกต่อมาว่าแถน หรือผีฟ้า
เรือ
ด้านข้างกลองมโหระทึกบางใบมีรูปเรือจากจินตนาการของคนเมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว
เป็นพาหนะส่งผีขวัญข้ามห้วงน้ำที่คั่นระหว่างดินกับฟ้า เพื่อขึ้นฟ้า
กลองทองมโหระทึก
“มโหระทึก” คำนี้พบในเอกสารโบราณ ต่อมานักปราชญ์ของไทยเคยสอบค้นหารากของคำและความหมายแท้จริง แต่ยังไม่พบตรงๆ จึงเป็นปัญหาคาราคาซังยังหาข้อยุติไม่ได้จนทุกวันนี้
ไมเคิล ไรท์ (ฝรั่งคลั่งสยาม) เคยเขียนลงในศิลปวัฒนธรรม (รายเดือน) หลายสิบปีมาแล้วว่ามโหระทึกเป็นชื่อเรียกเครื่องประโคมจากวัฒนธรรมอื่น (ซึ่งยังไม่รู้ว่าอะไร?) แต่ไม่ใช่กลองสำริดของอุษาคเนย์
“กลองทอง” เป็นชื่อเรียกกลองสำริดโดยคนหลายกลุ่มในตระกูลไต-ไทที่อยู่ทางใต้ของจีน เหตุเพราะเรียกโลหะผสมซึ่งมีทองแดงอยู่ด้วยอย่างรวมๆ ว่าทอง ถ้าจะเรียกให้ครอบคลุมก็ได้ว่า “กลองทองมโหระทึก”
จะเรียกกลองมโหระทึกหรือกลองทองก็ตาม แต่เครื่องมืออย่างนี้ทำจากโลหะ ถ้าแยกออกเฉพาะส่วนหน้าและขอบกลองจะถูกเรียกอย่างปัจจุบันว่าฆ้อง (ไม่เรียกกลอง) เมื่อตีก็มีเสียงดังกังวานทุกประการเหมือนกลองมโหระทึก บางชุมชนใช้ฆ้องตีแทนกลองมโหระทึก