จรัญ มะลูลีม : “สหรัฐ vs อิหร่าน” การเมือง-การทูตรัฐอันธพาล

จรัญ มะลูลีม

การแปลความอื่นๆ ชี้ชวนให้เห็นว่าในความเป็นจริงแล้ว อะมาดีเนญอดได้พูดว่าอิสราเอลจะต้องหายไปจากหน้าของกาลเวลาอันเป็นการอ้างมาจากแถลงการณ์ที่ทำขึ้นโดยอะยาตุลลอฮ์ โคมัยนี (Ayatollah Khomeini) ในช่วงเวลาที่อิหร่านและอิสราเอลเป็นพันธมิตรกันโดยปริยาย หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า พวกเขาหวังว่าการเปลี่ยนรัฐบาลจะเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่ง พวกเขามิได้พูดว่าจะโจมตีอิสราเอลทั้งในเวลานี้และเวลาอื่นๆ แต่อย่างใด

การคุกคามของอะมาดีเนญอดนั้นยังห่างไกลไปจากการเรียกร้องให้มีการพูดคุยโดยตรงของสหรัฐ-อิสราเอล เพื่อการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในอิหร่าน

ซึ่งยังไม่ต้องพูดถึงการกระทำที่จะนำเอาการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมาใช้ ซึ่งกลับไปที่ “การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล” อย่างแท้จริงในปี 1953 เมื่อสหรัฐจัดให้มีการรัฐประหารโดยทหารเพื่อโค่นรัฐบาลอิหร่านและจัดตั้งเผด็จการชาฮ์ให้ปกครองต่อไปด้วยการมีบันทึกด้านสิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายที่สุดของโลกเอาไว้ให้เห็น

อาชญากรรมเหล่านี้รู้จักกันดีสำหรับผู้อ่านข่าวสารจากองค์การนิรโทษกรรมสากลและองค์การสิทธิมนุษยชนอื่นๆ แต่มิใช่ผู้อ่านข่าวสารของสหรัฐ ซึ่งอุทิศพื้นที่จำนวนมากให้กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของอิหร่าน

แต่เป็นการพูดถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอิหร่านหลังจากปี 1979 เมื่อรัฐบาลที่สหรัฐเข้าไปบีบคั้นได้ถูกโค่นลงไป

ทั้งนี้ ข้อมูลที่แท้จริงได้รับการจัดทำเป็นเอกสารอย่างระมัดระวังโดยมันซูร ฟาร์ฮัง (Mansour Farhang) และวิลเลียม ดอร์แมน (William Dorman)

 

นอกจากนี้ ก็ไม่มีอะไรออกไปจากบรรทัดฐานของสหรัฐตามที่เป็นที่รู้กันอย่างดีว่าสหรัฐก็ยังเป็นแชมป์ในเรื่องการเปลี่ยนรัฐบาลอยู่ และอิสราเอลก็มิได้ทำสิ่งที่ต่างไปจากนี้น้อยไปกว่า

การรุกรานเลบานอนอย่างทำลายล้างของอิสราเอลในปี 1982 นั้นมุ่งหมายไปที่การเปลี่ยนรัฐบาลอย่างเปิดเผยพร้อมๆ ไปกับการมีที่มั่นอันมั่นคงในดินแดนที่ถูกยึดครอง

ข้ออ้างที่นำเอามาอ้างนั้นดูบางเบามาก และถูกคว่ำลงโดยทันที สิ่งเหล่านั้นก็เช่นกัน มันมิได้เป็นสิ่งที่ไม่ปกติแต่อย่างใด และมันเป็นอิสระอย่างมากตามลักษณะของสังคม นับตั้งแต่ความเศร้าโศกในการประกาศเอกราชต่อชาวอินเดียนด้วยความอำมหิตและไร้ความปรานี และการประกาศของฮิตเลอร์จากเยอรมนีถึงการก่อการร้ายอันป่าเถื่อนของชาวโปล

ไม่มีการวิเคราะห์ที่จริงจังใดๆ ที่เชื่อกันว่าอิหร่านจะใช้หรือข่มขู่ที่จะใช้นิวเคลียร์ ถ้าหากว่าอิหร่านมี ซึ่งอิหร่านก็ต้องเผชิญกับการทำลายล้างโดยทันที อย่างไรก็ตาม มีความกังวลอย่างแท้จริงว่าอาวุธนิวเคลียร์อาจตกอยู่ในมือนักต่อสู้ที่ไม่ได้มาจากอิหร่าน

ซึ่งการคุกคามนี้เป็นสิ่งเล็กๆ ที่มาจากปากีสถานพันธมิตรของสหรัฐซึ่งเป็นของจริง

 

ในวารสารของ (สหราชอาณาจักร) Royal Institute of International Affairs นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ปากีสถานสองคนคือ เพอร์เวซ ฮูดบอย (Pervez Hoodbhoy) และซิยา มิอาน (Zia Mian) ได้เขียนเอาไว้ ด้วยความหวาดกลัวว่ากลุ่มนักรบจะยึดอาวุธนิวเคลียร์หรือวัตถุดิบต่างๆ และปล่อยให้มีการก่อการร้ายด้วยนิวเคลียร์ขึ้นมา

จึงมีการสร้างกองกำลังซึ่งอุทิศตนที่มีทหารประจำอยู่ 20,000 นาย เพื่อคุ้มครองอุปกรณ์นิวเคลียร์ต่างๆ (แม้ว่า) จะไม่มีเหตุผลใดที่จะมาตั้งสมมุติฐานเช่นนี้ก็ตาม

วิเจย์ตั้งคำถามต่อกับ ศ.ชอมสกี้ว่าเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ สมันธา เพาเวอร์ (Samantha Power) กล่าวว่า สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ “ความไม่มั่นคงที่อิหร่านปลุกเร้าขึ้นมาในโครงการนิวเคลียร์ของตน”

เธอสะท้อนออกมาว่า แอชตัน คาร์เตอร์ (Ashton Carter) ผู้เดินทางไปชายแดนตอนเหนือของอิหร่านกล่าวว่า

“เราจะยังคงช่วยอิสราเอลเผชิญกับอิทธิพลของอิหร่านที่เป็นอันตรายต่อไป” เธอได้กล่าวแทรกขึ้นมาว่า จากการที่อิหร่านสนับสนุนฮิซบุลลอฮ์ ทำให้สหรัฐมีสิทธิที่จะใช้กำลังทางทหารกับอิหร่านได้ ศ.ชอมสกี้จะวิจารณ์เรื่องนี้ได้ไหม?

ศ.ชอมสกี้ตอบว่า สหรัฐรุกรานประเทศที่คนนับแสนถูกฆ่า และคนนับล้านต้องกลายเป็นคนลี้ภัย พร้อมๆ ไปกับการทรมานที่ป่าเถื่อนและการทำลายล้างซึ่งชาวอิรักเปรียบเทียบเอาไว้ว่าเหมือนกับการรุกรานของชาวมองโกล ทำให้อิรักเป็นประเทศที่ขาดความสุขในโลกตามการสำรวจของ WIN / Gallup โพล

นอกจากนี้ ก็ยังก่อไฟเรื่องความขัดแย้งทางสำนักคิดขึ้นมาอีก ซึ่งเป็นการฉีกพื้นที่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และเป็นการวางพื้นฐานให้กับกองกำลัง ISIS (รัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย) ที่มีความโหดเหี้ยมพร้อมไปกับพันธมิตรของซาอุดีอาระเบีย นี่คือความมีเสถียรภาพ

 

เจมส์ เชซ (James Chace) อดีตบรรณาธิการ Foreign Affairs อธิบายว่าสหรัฐพยายามจะ “สร้างความไร้เสถียรภาพในการเลือกตั้งเสรีของรัฐบาลมาร์กซิสต์ในชิลี” เพราะว่าเราตัดสินที่จะแสวงหาความมีเสถียรภาพ (ภายใต้ความเป็นเผด็จการของปิโนเชต์)

ขอให้เราพิจารณากรณีของฮิซบุลลอฮ์และฮามาส ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นมาต่อต้านสหรัฐที่หนุนหลังความรุนแรงและการรุกรานของอิสราเอลซึ่งมีเพิ่มขึ้นอย่างสูงกว่าสิ่งใดที่อ้างไปถึงองค์การเหล่านี้

ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรกับฮิซบุลลอฮ์และฮามาสหรือผู้ได้รับผลประโยชน์ที่สนับสนุนโดยอิหร่านก็ตาม ก็ยากที่จะบอกว่าอิหร่านสนับสนุนการก่อการร้ายทั่วโลก

แม้แต่ในโลกมุสลิม

 

ในบรรดารัฐอิสลามซาอุดีอาระเบียก็อยู่นำหน้าในฐานะผู้สนับสนุนการใช้ความรุนแรง มิใช่ด้วยการให้ทุนโดยตรงจากชาวซาอุดีอาระเบียที่ร่ำรวยและคนอื่นๆ ในอ่าว แต่ยังใช้กลุ่มเผยแพร่ที่เป็นตราประทับที่ซาอุดีประกาศตัวขึ้นมา และหนทางอื่นๆ ที่หาได้เพื่อนำเอาเผด็จการทางศาสนาพร้อมด้วยความมั่งคั่งที่มีอยู่อย่างมหาศาลมาใช้ ISIS นั้นเป็นผลพวงของผู้ใช้ความรุนแรงจากผู้เคร่งครัดศาสนาเพื่อสุมไฟการต่อสู้ขึ้นมา

แม้แต่ในยุคที่มีการใช้ความรุนแรงของกลุ่มอิสลาม ก็ยังไม่มีอะไรจะเปรียบได้กับสงครามต่อต้านการก่อการร้าย (war on terror) ซึ่งช่วยให้มีการขยายผลที่ตามมาเข้าไปในดินแดนของเผ่าเล็กๆ ในอัฟกานิสถาน-ปากีสถานไปยังดินแดนอันกว้างขวางของแอฟริกาตะวันตกไปจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การรุกรานอิรักแต่เพียงอย่างเดียว นำไปสู่การขยายตัวของการโจมตีด้วยการก่อการร้ายหลายครั้ง เหนือกว่าที่คาดการณ์เอาไว้โดยหน่วยงานข่าวกรองเสียอีก การใช้โดรนต่อต้านผู้อยู่ชายขอบและสังคมเผ่าที่ได้รับการกดขี่จะทำให้เกิดการเรียกร้องที่เปิดเผยและการแก้แค้นตามหลักฐานที่แสดงให้เห็นอย่างพอเพียงมาแล้ว

บรรดาลูกค้าของอิหร่าน (ฮิซบุลลอฮ์และฮามาส) ร่วมกันในอาชญากรรมของการได้มาซึ่งชัยชนะของประชาชนในการเลือกตั้งอิสระแห่งเดียวที่มีขึ้นในโลกอาหรับ ฮิซบุลลอฮ์นั้นมีอาชญากรรมที่ชั่วร้ายมากกว่าเสียอีกด้วยการบังคับให้อิสราเอลถอนออกไปจากการยึดครองภาคใต้ของเลบานอนที่อิสราเอลละเมิดคำสั่งสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ย้อนหลังไปเป็นทศวรรษ อันเป็นรัฐบาลที่ผิดกฎหมายที่ใช้การก่อการร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าผ่านเรื่องราวของการใช้ความรุนแรงอย่างสุดเหวี่ยง

รวมทั้งการฆาตกรรมและการทำลายล้าง