อนุสรณ์ ติปยานนท์ : นายหมอกคนร่อนเร่

เมืองในหมอก (17)

รถยนต์คันดังกล่าวแล่นฝ่าเปลวแดดมาจากระยะไกล

นายหมอกสีเทาตัดสินใจหยุดรถของเขาลงข้างทางและดูเหมือนว่ารถคันดังกล่าวตั้งใจจะทำอย่างนั้นเช่นกัน มันชะลอความเร็วลงเมื่อเข้าใกล้รถยนต์ของนายหมอกสีเทาก่อนที่จะจอดลงเทียบรถยนต์ของเขา

เมื่อจอดเทียบกัน นายหมอกสีเทาจึงพบว่ามันคือรถยนต์บรรทุกขนาดย่อม ไม่ใช่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลธรรมดา

ชายคนขับลงจากรถยนต์ ร่างของเขาสูงทัดเทียมกับนายหมอกสีเทา หากแต่มีความกำยำล่ำสันมากกว่า

ผมของเขายาวปรกไหล่ เขาใส่แว่นกันแดดสีดำจนเมื่อเขาปลดมันออกจากใบหน้า นายหมอกสีเทาจึงพบว่าเขามีอายุมากกว่านายหมอกสีเทา เขาเอ่ยถามนายหมอกสีเทาด้วยท่าทีอิดโรยว่า

“ที่ชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ยังอยู่อีกไกลไหม คุณชาร์จไฟรถยนต์ของคุณครั้งสุดท้ายที่ใด?”

นายหมอกสีเทาตอบเขาไปว่ามันมีระยะไกลพอควร ชายคนดังกล่าวทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ผมแทบไม่อยากกล่าวแบบนี้เลย เพราะคุณคงจำเป็นต้องพึ่งพามันเหมือนกัน แต่จะเป็นไปได้ไหมหากผมจะขอชาร์จไฟรถของคุณในจำนวนหนึ่ง ผมจำเป็นจะต้องกลับไปยังที่พักของผมก่อนค่ำ และผมผิดพลาดเองที่ขับรถสำรวจบริเวณนี้เพลินเกินไป”

หญิงสาวผู้นั้นลงจากรถ เธอลงมายืนเคียงข้างนายหมอกสีเทาพลางพิจารณาคู่สนทนาของนายหมอกสีเทาอย่างตั้งใจ

มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกสนใจในชายผู้นั้น

 

นายหมอกสีเทากลับเข้าไปในรถอีกครั้ง เขาสำรวจปริมาณไฟสำรองที่เขามีก่อนจะกลับออกมาอีกครั้ง

“ผมคงแบ่งปันคุณได้เพียงแค่หนึ่งในสามของที่ผมมี เราเองก็ไม่แน่ใจว่าต้องขับไปอีกไกลสักเพียงใดก่อนจะได้พบกับสถานีชาร์จไฟอีกครั้ง”

“ถ้าคุณมุ่งเหนือ ไม่ใช่ทางทิศตะวันออกอย่างที่เป็นอยู่นี่ ราวหนึ่งร้อยกิโลเมตรจะมีสถานีชาร์จไฟอีกสถานีหนึ่ง และถ้าคุณโชคดีผมแนะนำให้คุณทานอาหารที่นั่น รสชาติไม่เลวนักแม้ว่าจะจืดชืดเกินไปสำหรับคนร่อนเร่อย่างผมก็ตาม”

“คนร่อนเร่?”

“ใช่ คุณจะเรียกผมในแบบอื่นก็ได้ แต่ผมพอใจจะเรียกตนเองแบบนั้น นับตั้งแต่หมอกควันโจมตีเมืองของเรา ผมก็พอใจจะเรียกตนเองแบบนั้น”

“หมายความว่าคุณร่อนเร่นับตั้งแต่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น บนท้องถนนเช่นนี้?”

“ไม่ตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ที่เราจะอยู่บนท้องถนนตลอดเวลา แต่เอาเป็นว่า ผมอยู่บนท้องถนนอาจจะมากกว่าใครทุกคนในเมืองนี้ โดยเฉพาะใครที่หมกตัวอยู่แต่ในห้องหับรูหนูเหล่านั้น”

 

ระหว่างการสนทนาของทั้งคู่ หญิงสาวผู้นั้นไม่ละสายตาจากชายแปลกหน้า

เธอลอบมองเขาเป็นระยะ นายหมอกสีเทาต่อสายชาร์จไฟจากรถของเขาให้ชายผู้นั้น

ไม่นานนักกิจกรรมดังกล่าวก็เสร็จสิ้นลง ชายคนดังกล่าวกลับไปที่รถของเขา สตาร์ตเครื่องยนต์ เขาตรวจสอบดูมิเตอร์วัดพลังงานก่อนจะกลับออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“ขอบคุณมาก ผมน่าจะเดินทางได้อีกไกล ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่มีเงินสดและอุปกรณ์ชำระเงินด้านอิเล็กทรอนิกส์เลย แต่ผมคิดว่าคุณอาจสนใจในบางสิ่งที่ผมมี”

ชายคนดังกล่าวนำนายหมอกสีเทาไปที่ด้านหลังรถ เขาเปิดประตูท้ายรถให้นายหมอกสีเทาได้เห็นสิ่งของที่บรรทุกอยู่ในนั้น มันมีตั้งแต่เสื้อผ้า ต้นไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้า หนังสือ เครื่องเขียน อุปกรณ์ทำอาหารและอีกสารพัดสิ่ง

“เลือกสิ่งของที่คุณชอบได้เลย เอาไปเท่าที่คุณคิดว่ามันเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่ผมต้องชำระคุณ ตามใจปรารถนา” เขาพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

นายหมอกสีเทาสำรวจดูสิ่งของเหล่านั้น หญิงสาวผู้นั้นสำรวจสิ่งของเหล่านั้นเช่นกัน นายหมอกสีเทาเลือกหนังสือสองสามเล่มที่เขาคิดว่าจะมีโอกาสได้อ่านมัน

ในขณะที่หญิงสาวผู้นั้นเลือกต้นไม้ต้นหนึ่ง หลังเก็บข้าวของดังกล่าวไว้ที่รถยนต์ของตน ชายคนนั้นเอ่ยถามนายหมอกสีเทา

“คุณกำลังจะเดินทางไปไหน ขอโทษที่ต้องถามเช่นนี้ ผมไม่มีความต้องการละลาบละล้วงอะไรเลย แต่คิดว่าความรู้เกี่ยวกับท้องถนนของผมอาจช่วยคุณได้บ้าง”

“เรากำลังจะเดินทางไปยังจุดที่คิดว่าเป็นพรมแดนของหมอกควัน เราคิดว่าที่เส้นเขตแดนเหล่านั้น เราอาจพบบางสิ่งที่ใหม่และปลอดจากภัยพิษทั้งหลายที่ครอบคลุมเราอยู่”

“ไม่ใช่ทิศตะวันออกที่คุณมุ่งไปแน่ ผมมาจากทิศนั้น ผมไม่แน่ใจว่าจากเมืองที่ผมเคยอยู่จะมีเส้นเขตแดนที่สิ้นสุดของหมอกควันหรือไม่ เพราะผมไม่เคยทำแบบคุณ แต่แน่ใจได้ว่าหากจะมี คุณอาจต้องใช้เวลาเดินทางนับปี แต่ผมไม่คิดว่าคุณทั้งคู่ได้เตรียมตัวมาเช่นนั้น”

 

นายหมอกสีเทารู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “คุณหมายความว่าไม่ใช่เพียงเมืองของเราที่ถูกครอบคลุมด้วยหมอกควัน เมืองของคุณก็ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วย”

“อย่างนั้นสิ คุณคิดว่าหมอกควันมันเป็นเชื้อโรคที่กัดกินเฉพาะที่กระนั้นหรือ ไม่เลย ผมเชื่อว่าอาจจะเป็นโลกทั้งโลกของเราด้วยซ้ำที่ตกอยู่ภายใต้การรุกรานของมัน”

“โลกทั้งโลก”นายหมอกสีเทาเอ่ย “แล้วผู้คนทั้งหลายหายไปไหน?”

“ตาย หรือไม่ก็อพยพไปอยู่ในรัง ในรู หรือแม้แต่ในอาคารสูง เมืองหนึ่งที่ผมพบ ผู้คนทั้งหลายพากันไปอยู่อาศัยใต้ดิน น่าสนใจมากทีเดียว แต่สำหรับผมแล้วการเร่ร่อนบนท้องถนนน่าจะเหมาะสมกว่า ผมตระเวนไปตามที่ต่างๆ เข้าไปในสถานที่ที่ร้างไร้ผู้คน เก็บสิ่งของที่คิดว่าน่าสนใจมาเพื่อใช้แลกเปลี่ยนมันกับผู้คนในสถานที่อื่นที่ไม่อาจผลิตสิ่งเหล่านั้นได้ ต้นไม้ที่คุณเอาไปนั่นน่าจะเป็นต้นไม้ที่ทนหมอกควันและมลพิษได้ดีที่สุด ผมเจอมันตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง แต่ก็น่าสนใจที่ไม่มีใครคิดจะปลูกมันอย่างจริงจังเลย”

“คุณไม่มีครอบครัวหรือ?” นายหมอกสีเทาถาม ในครานี้เขารู้สึกดังว่าเป็นผู้ที่ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของชายผู้นั้นแทน

“ลูกสาวหนึ่งคน ภรรยาหนึ่งคน แต่ทั้งคู่จากผมไปเพราะไอ้หมอกควันบ้าๆ นั่น มีแต่ผมคนเดียวที่ทนมันได้ จนผมไม่ต้องพึ่งพาหน้ากากป้องกันมลพิษเหมือนพวกคุณ”

 

ตอนนั้นเองที่นายหมอกสีเทาและหญิงสาวผู้นั้นพบว่าชายคนดังกล่าวไม่ได้ใส่หน้ากากป้องกันมลพิษเหมือนเขาทั้งสอง

กระนั้นเขามีทีท่าที่ปลอดโปร่งไม่ได้แสดงอาการกังวลกับมลภาวะเลย

นอกจากนี้ เขายังแลดูเป็นปกติอย่างยิ่ง

นายหมอกสีเทารู้สึกเหมือนดังว่าเขาได้พบคำตอบบางประการจากการเดินทางครั้งนี้

แม้ว่ามันจะไม่ใช่คำตอบที่ชัดเจนก็ตาม

“คุณบอกผมว่าถ้าผมมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ อีกราวหนึ่งร้อยกิโลเมตรจะมีสถานีชาร์จไฟและยังมีร้านอาหารบริการด้วย จะเป็นไรไหมถ้าเราจะไปที่นั่นกันอีกครั้งหนึ่ง ผมอยากสนทนากับคุณ หนึ่งร้อยกิโลเมตรนับจากนี้ ไฟฟ้าในรถของคุณน่าจะเกินพอหรือหากมีสิ่งที่ไม่คาดฝัน ผมจะขับรถตามหลังคุณ ขอให้คุณช่วยนำทางพวกเราด้วย”

ชายคนดังกล่าวยืนนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ “ดีเหมือนกัน ผมเองก็ไม่ได้ทานอาหารร่วมกับใครนานแล้ว อย่างไรก็ตาม อย่างที่ผมบอกอาหารที่นั่นเพียงแต่พอใช้ได้ อย่าคาดหวังกับมันมากนัก และเช่นเดียวกัน ผมเป็นบุคคลที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย อย่าคาดหวังกับผมเช่นกัน”